
Hallyu อาวุธลับแห่งเกาหลีใต้
ธิติสรร พึ่งกัน
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทุกวันนี้วัฒนธรรมเกาหลีใต้ได้แทรกซึมเข้ามาอยู่ในทุกภาคส่วนของการใช้ชีวิตประจำวันของผู้คนทั่วทั้งโลก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาหารการกิน แฟชั่นการแต่งกาย การแสดงและความบันเทิงต่าง ๆ หรือแม้แต่การท่องเที่ยว ล้วนเข้ามามีอิทธิพลต่อผู้คนในยุคปัจจุบันทั้งสิ้น ในปี 2021 ที่ผ่านมา Oxford English Dictionary ได้บรรจุ 26 คำศัพท์ภาษาเกาหลีลงในพจนานุกรมภาษาอังกฤษเพื่อตอบรับการแผ่ขยายของวัฒนธรรมเกาหลีใต้ที่มีบทบาทในระดับโลก โดยคำที่เรามักคุ้นหูกันบ่อยครั้ง ได้แก่ “K-” ซึ่งหมายถึง สิ่งเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมสมัยนิยมของประเทศเกาหลีใต้ เช่น K-pop K-food K-movies เป็นต้น และอีกหนึ่งคำที่มักได้ยินกันบ่อยครั้งก็คือ “Korean Wave” หรือ “Hallyu” (ฮันรยู) ซึ่งหมายถึง การเพิ่มขึ้นของความสนใจในระดับนานาชาติของวัฒนธรรมสมัยนิยมของเกาหลีใต้ โดยเฉพาะดนตรี ภาพยนตร์ แฟชั่น และอาหาร ซึ่งในปัจจุบันนี้เราจะเห็น Presenter และ Brand Ambassador ของผลิตภัณฑ์และบริการต่าง ๆ ทั่วโลก ตั้งแต่สินค้าที่ใช้ในการอุปโภคบริโภคทั่วไปในชีวิตประจำวัน จนถึงสินค้าที่มีราคาสูงหรือสินค้าที่มีชื่อเสียงระดับโลก เป็นดาราและศิลปินชาวเกาหลีใต้มากยิ่งขึ้นและยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้นในอนาคต
การที่คลื่นเกาหลี หรือ Hallyu กลายมาเป็น Soft Power ที่สำคัญของเกาหลีใต้และสร้างอิทธิพลต่อผู้คนทั่วโลกนั้น ไม่ได้เกิดจากกระแสนิยมเพียงชั่วครู่ชั่วคราว แต่เป็นกลยุทธ์ในการฟื้นฟูภาพลักษณ์เศรษฐกิจของเกาหลีใต้ที่ถูกผลักดันให้กลายเป็น Soft Power ทางด้านวัฒนธรรมของชาติที่ทรงพลัง และพัฒนาจากระดับเอเชียสู่ระดับโลก จนเป็นที่ยอมรับกันในระดับสากลว่า เกาหลีใต้เป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จในการใช้ Soft Power ขับเคลื่อนประเทศ ให้สามารถดึงดูดผู้คนทั่วโลกให้หันมาสนใจวัฒนธรรมของเกาหลีใต้ได้อย่างมากมาย แน่นอนว่าเครื่องมือหลักในการขับเคลื่อนการเผยแพร่วัฒนธรรมเกาหลีที่เราเห็นกันได้ในชีวิตประจำวันก็คืออุตสาหกรรมบันเทิง ที่มีทั้งเพลง ภาพยนตร์ ซีรีส์ ซึ่งในปัจจุบันนี้เรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติที่สามารถดึงดูดทั้งความสนใจและเม็ดเงินจำนวนมหาศาลเข้าสู่ประเทศเกาหลีใต้ได้อย่างต่อเนื่อง ผ่านทูตวัฒนธรรมที่เป็นนักร้อง ดารา ศิลปิน ที่เราได้พบเห็นจากภาพยนตร์และซีรีส์ต่าง ๆ ที่ส่งออกไปทั่วทุกมุมโลก จากรายงาน Status & Insight Korean Film Industry 2022 ของ The Korean Film Council ระบุว่า การส่งออกภาพยนตร์เกาหลีใต้ไปยังต่างประเทศมีการเติบโตเพิ่มขึ้น 47% เมื่อเทียบกับปี 2021 โดยมีมูลค่าถึง 71.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของเกาหลีใต้มีการเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 66.7% เมื่อเทียบกับปี 2021 มีมูลค่ารวม 1.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งถ้าหากย้อนกลับไปช่วงก่อนหน้าการแพร่ระบาดของโควิด-19 อุตสาหกรรมภาพยนตร์ของเกาหลีใต้มีมูลค่ารวมถึง 1.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2019
นอกจากความพยายามของภาคเอกชนเกาหลีใต้ในการเผยแพร่ Hallyu ออกไปสู่ประเทศอื่น ๆ แล้ว ภาครัฐของเกาหลีใต้ก็เป็นอีกส่วนสำคัญที่สนับสนุนการเผยแพร่ Hallyu อย่างจริงจังและต่อเนื่องมากว่าสองทศวรรษ ไม่ว่าจะเป็นการยกเลิกกฎหมายการเซ็นเซอร์ การสนับสนุนบริษัท Start up ในการดำเนินธุรกิจด้านการแสดง และการจัดตั้งหน่วยงานต่าง ๆ อาทิ องค์การมหาชน ศูนย์วิจัย และสถาบันการศึกษาทางวัฒนธรรม รวมไปถึงสำนักงานด้านนโยบายอุตสาหกรรมวัฒนธรรมและความร่วมมือเนื้อหาฮันรยู ของกระทรวงวัฒนธรรม การกีฬา และการท่องเที่ยวของเกาหลีใต้ เพื่อสนับสนุนและอำนวยความสะดวกให้ภาคเอกชนในอุตสาหกรรมนี้โดยเฉพาะ อันส่งผลโดยตรงให้ธุรกิจต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมสามารถแสดงศักยภาพได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมภาพยนตร์และอุตสาหกรรมบันเทิง ที่สามารถแทรกซึมเข้าไปในทุกประเทศของโลก
เรามักจะเห็นว่าภาพยนตร์และซีรีส์เกาหลีเกือบทุกเรื่อง จะมีการนำเสนอวัฒนธรรมเกาหลีเข้าไปเป็นองค์ประกอบหนึ่งของการดำเนินเรื่องอย่างแยบยล ยกตัวอย่างเช่น อาหารเกาหลี ซึ่งมักเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในภาพยนตร์และซีรีส์ทุกเรื่อง บ่อยครั้งที่เราจะเห็นการสอดแทรกวัฒนธรรมการกินของชาวเกาหลี ผ่านฉากการรับประทานอาหารที่เน้นถ่ายไปยังเมนูอาหารเกาหลีที่นักแสดงชื่นชอบ หรือแม้แต่ฉากการทำอาหารเกาหลีที่มีรูปลักษณ์และสีสันที่น่ารับประทาน ซึ่งฉากเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อความรู้สึกและอารมณ์ของผู้รับชมให้เกิดความสนใจและตามหาเมนูเหล่านั้นเพื่อรับประทานสักครั้ง โดยตัวอย่างละครและซีรีส์ที่สร้างแรงกระเพื่อมให้กับอุตสาหกรรมอาหารเกาหลีที่ผ่านมามีอยู่มากมายหลายเรื่อง ยกตัวอย่างเช่น ในปี 2020 ซีรีส์ Itaewon Class ซึ่งมีการดำเนินเรื่องเกี่ยวข้องกับร้านอาหารในย่านอิแทวอน ทำให้อาหารเกาหลีได้กลายเป็นกระแสนิยมเพิ่มมากขึ้นในช่วงการออนแอร์ของซีรีส์เรื่องนี้ โดยอาหารเกาหลีสามารถส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศได้มากถึง 89 ประเทศในปี 2021 และมีอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยมากถึง 18% ต่อปี อีกทั้งยังส่งผลต่อการท่องเที่ยวอีกด้วย เนื่องจากผู้รับชมเกิดความรู้สึกอยากตามรอยซีรีส์ โดยไปท่องเที่ยวในย่านอิแทวอนเพื่อให้เห็นกับตาของตัวเอง หรือหากย้อนกลับไปไกลกว่านั้น ในปี 2003 ละครชุดแดจังกึมที่ออกอากาศทางโทรทัศน์ช่อง MBC ของเกาหลีใต้สามารถทำให้ผลิตภัณฑ์ด้านอาหารและสินค้าการเกษตรของเกาหลี ส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่นและประเทศอื่น ๆ ในเอเชียได้อย่างมหาศาล นอกเหนือจากอิทธิพลที่มีต่อการส่งออกสินค้าแล้ว ละครชุดแดจังกึมยังสามารถสร้างรายได้จากการส่งออกลิขสิทธิ์ไปยังประเทศอื่น ๆ กว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อีกด้วย
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมามีภาพยนตร์และซีรีส์เกาหลีจำนวนมากที่เลือกใช้สถานที่ต่าง ๆ ในประเทศไทยเป็นสถานที่ถ่ายทำ อาทิ พื้นที่โรงแรมบันยันทรีและทะเลรอบเกาะภูเก็ต ในเรื่อง Full House (2003) ตลาดน้ำดำเนินสะดวก ในเรื่อง Typhoon (2004) City Hunter (2011) และ Jealousy Incarnate (2016) ถนนข้าวสาร ในเรื่อง Princess Hours (2006) The Negotiation (2018) หรือล่าสุดในปี 2023 ในซีรีส์เกาหลีที่เป็นกระแสโด่งดังอย่างเรื่อง “King The Land” ที่มีการใช้ประเทศไทยเป็นสถานที่ถ่ายทำและสามารถดึงศักยภาพ Soft Power ของไทยสู่สายตาชาวโลกได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นด้านอาหารไทยในฉากการสั่งอาหารแบบไทย ๆ การรับประทานก๋วยจั๊บญวน และ Street Food ที่ถนนคนเดินคลองโอ่งอ่าง ด้านวิถีชีวิตของผู้คนในฉากการนั่งรถตุ๊กตุ๊กสัมผัสบรรยากาศ แสง สี ยามค่ำคืน และฉากตลาดร่มหุบ ด้านสถานที่ทางวัฒนธรรมที่ถ่ายทำ ณ วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร เสาชิงช้า โลหะปราสาท รวมไปถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับโลกของไทย เช่น ไอคอนสยาม ถนนข้าวสาร สยามสแควร์ เป็นต้น หรือแม้กระทั่งการสอดแทรกภาษาไทยและวัฒนธรรมไทยไปในหลาย ๆ ฉาก จนทำให้ผู้ชมจำนวนมากเกิดความรู้สึกอยากที่จะไปสัมผัสสถานที่จริงและลิ้มลองอาหารเหล่านั้นตามรอยซีรีส์
ไม่เพียงแค่ภาพยนตร์เกาหลีเท่านั้น แต่ภาพยนตร์ Hollywood และภาพยนตร์ตะวันตกหลายเรื่อง ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมภาพยนตร์ระดับโลกก็เลือกประเทศไทยเป็นสถานที่ถ่ายทำ ซึ่งอาจเป็นเพราะเรามีโครงสร้างพื้นฐานที่มีศักยภาพเพียงพอต่อการถ่ายทำ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ ทีมงานชาวไทย ผลิตภัณฑ์และบริการที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นไทย รวมถึงความเป็นมิตรของชาวไทยเอง ซึ่งสอดคล้องกับรายงานของ Brand Finance บริษัทที่ปรึกษาด้านการพัฒนาแบรนด์ชาติและการประเมินมูลค่าแบรนด์ชั้นนำของโลก ที่ระบุในรายงาน Global Soft Power Index 2023 ว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพทางด้าน Soft Power ในอันดับที่ 41 จาก 121 ประเทศทั่วโลก และเป็นอันดับที่ 3 ของภูมิภาคอาเซียน ดังนั้น การใช้เอกลักษณ์ด้านอาหาร ประเพณี สถานที่ทางประวัติศาสตร์ ทรัพยากรธรรมชาติ หรือแม้แต่วิถีชีวิตของคนไทย อันเป็นต้นทุนทางวัฒนธรรมที่เต็มไปด้วยศักยภาพ และเป็น Soft Power ที่แข็งแรงของเรา ความมุ่งมั่นของภาคเอกชนในการปลดปล่อยพลังความคิดสร้างสรรค์ ผนวกกับการผลักดันของภาครัฐในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยให้เป็น Soft Power ที่แข็งแกร่ง ไม่แน่ว่าเราอาจได้เห็นนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ที่เดินทางเข้ามาประเทศไทยเพื่อตามรอย T-movies และ T-food ก็เป็นได้
ที่มา:
https://thegrowthmaster.com/growth-mindset/soft-power-south-korea
https://urbancreature.co/southkorea-koreanwave/
https://brandage.com/article/25212
“Global Soft Power Index 2023” Brand Finance