
สถานการณ์ท่องเที่ยวตลาดต่างประเทศ เดือนเมษายน-มิถุนายน 2567
โดย งานวิเคราะห์ตลาดต่างประเทศ กองกลยุทธ์การตลาด วันที่ 27 มิถุนายน 2567
ภาพรวมสถานการณ์ท่องเที่ยวตลาดต่างประเทศ เดือนเมษายน-มิถุนายน 2567
สถานการณ์การเดินทางตลาดต่างชาติเที่ยวไทยในช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน 2567 ซึ่งเข้าสู่ช่วงนอกฤดูกาลการท่องเที่ยวไทย (Low Season) ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวไทยในภาพรวมชะลอตัวลงจากช่วง 3 เดือนก่อนหน้า (มกราคม-มีนาคม) เนื่องจากกลุ่มนักท่องเที่ยวภูมิภาคยุโรปและอเมริกามีสัดส่วนนักท่องเที่ยวลดลงตามแนวโน้มปกติ ในขณะที่ตลาดนักท่องเที่ยวที่มีสัดส่วนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเที่ยวไทยมากขึ้นคือ นักท่องเที่ยวอาเซียน จีน ไต้หวัน อินเดีย เนื่องจากนโยบายผ่อนคลายมาตรการวีซ่าเพื่อการท่องเที่ยวในไทย ช่วยกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวตัดสินใจเดินทางมาท่องเที่ยวง่ายขึ้น อีกทั้งนักท่องเที่ยวหลายชาติของไทยมีวันหยุดยาวติดต่อกันเพื่อท่องเที่ยวพักผ่อนในต่างประเทศ เช่น ปิดภาคเรียน/วันหยุดปีใหม่ (อาเซียน) วันหยุด Golden Week (ญี่ปุ่น) วันหยุดวันแรงงาน (จีน) รวมถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวมุสลิมที่มีการเดินทางท่องเที่ยวออกต่างประเทศเข้ามาช่วยเสริม หลังฤดูถือศีลอดเดือนรอมฎอนสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2567 ผนวกด้วยกระแสการเดินทางท่องเที่ยว ซึ่งตรงกับช่วงที่ไทยมีการจัดงานฉลองเทศกาลมหาสงกรานต์ “Maha Songkran World Water Festival 2024” อย่างยิ่งใหญ่ในปีนี้
สำหรับปัจจัยหนุนด้านการส่งเสริมตลาดผ่านกิจกรรมของ ททท. และพันธมิตร เพื่อกระตุ้นการเดินทางและการใช้จ่ายในไทยช่วง Low Season โดยหลัก ๆ ยังคงมุ่งเน้นเจาะตลาดระดับกลาง-บนเข้าไทยต่อเนื่อง อาทิ ขยายฐานกลุ่ม First Visit ในเมืองรองศักยภาพของตลาดจีนและอินเดีย กลุ่มศึกษาดูงาน/สัมมนา กลุ่มขับรถคาราวานเที่ยวไทย กลุ่มสนใจกีฬา กลุ่มท่องเที่ยวเชิงสุขภาพความงาม ฯลฯ
ส่งผลให้สถานการณ์การเดินทางตลาดต่างชาติเที่ยวไทยภาพรวม เดือนเมษายน-มิถุนายน 2567 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยทั้งสิ้น 8,047,228 คน หรือขยายตัวร้อยละ 25 สร้างรายได้ทางการท่องเที่ยวประมาณ 355,840 ล้านบาท หรือขยายตัวร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปี 2566 โดยภูมิภาคอาเซียน ยุโรป เอเชียใต้ และตะวันออกกลาง มีจำนวนและรายได้ฟื้นตัวเทียบเท่าที่ไทยเคยได้รับในช่วงเวลาเดียวกันปี 2562 แล้ว สำหรับนักท่องเที่ยวเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ อเมริกา โอเชียเนีย และแอฟริกา ฟื้นตัวร้อยละ 70-80 TOP 10 ตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามามากที่สุดคือ จีน มาเลเซีย อินเดีย เกาหลีใต้ ลาว รัสเซีย เวียดนาม สิงคโปร์ ไต้หวัน และอินโดนีเซีย คิดเป็นสัดส่วนรวมกันร้อยละ 68 ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดของไทย
ในขณะที่ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตตลาดต่างประเทศ ยังคงเป็นเรื่องค่าใช้จ่ายในการเดินทางท่องเที่ยว และราคาบัตรโดยสารเครื่องบินยังคงอยู่ในระดับสูง ท่ามกลางวิกฤตความขัดแย้งระหว่างประเทศในอิสราเอลและตะวันออกกลาง รวมถึงการแข่งขันภาคการท่องเที่ยวเพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติจากไทยเข้มข้นขึ้น
โดยสรุปสถานการณ์แต่ละภูมิภาคดังนี้:
ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ
ในช่วงเมษายน-มิถุนายน 2567 ครองสัดส่วนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทยมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 34 ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด ใกล้เคียงสัดส่วนนักท่องเที่ยวภูมิภาคอาเซียน คาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือเดินทางเข้าไทย 2,727,897 คน ขยายตัวร้อยละ 52 และสร้างรายได้ทางการท่องเที่ยวประมาณ 125,363 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 44 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักมาจาก
- ข้อตกลงยกเว้นวีซ่าร่วมกันระหว่างจีนและไทย (Visa Free) เริ่มวันที่ 1 มีนาคม 2567 ช่วยเป็นแรงส่งให้เกิดการเดินทางเข้าไทยของนักท่องเที่ยวจีนมากขึ้น โดยในช่วงเมษายน-มิถุนายน 2567 นักท่องเที่ยวตลาดจีนครองสัดส่วนจำนวนนักท่องเที่ยวมากที่สุดร้อยละ 21 ของนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยทั้งหมด และเพิ่มขึ้นร้อยละ 80 จากช่วงเวลาเดียวกันในปี 2566 เนื่องจากข้อตกลงยกเว้นวีซ่าฯ ช่วยเพิ่มความสะดวกและลดเวลาเตรียมการก่อนการเดินทางให้กับนักท่องเที่ยว นอกจากนี้ในช่วงเทศกาลวันหยุดยาววันแรงงานของจีนซึ่งมีวันหยุดติดต่อกัน 5 วัน (วันที่ 1-5 พฤษภาคม 2567) ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไทยเพิ่มขึ้นร้อยละ 123 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566
- การขยายเวลามาตรการยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยว (Visa Exemption) ให้แก่นักท่องเที่ยวไต้หวันออกไป 6 เดือน มีผลวันที่ 11 พฤษภาคม – 11 พฤศจิกายน 2567 จากเดิมกำหนดสิ้นสุดวันที่ 10 พฤษภาคม 2567 ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวไต้หวันเดินทางเข้าไทยในช่วงเมษายน-มิถุนายน 2567 เพิ่มขึ้นร้อยละ 43 จากช่วงเวลาเดียวกันในปี 2566 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 36 จากปี 2562
- โอกาสส่งเสริมตลาดกลุ่ม First Visit ของ ททท. จากพื้นที่ตอนใต้ของเกาหลีใต้ การขยายเส้นทางใหม่ปูซาน-กรุงเทพฯ ของสายการบิน Korean Air ตั้งแต่ช่วงวันที่ 25 เมษายน – 31 ตุลาคม 2567 จำนวน 7 เที่ยว/สัปดาห์ ในช่วงเมษายน-มิถุนายน 2567 มีนักท่องเที่ยวเกาหลีใต้เดินทางเข้าไทยเพิ่มขึ้นร้อยละ 16 จากช่วงเวลาเดียวกันในปี 2566 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 จากปี 2562
- จำนวนที่นั่งเครื่องบินในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 4.9 ล้านที่นั่ง (คิดเป็นสัดส่วนการฟื้นตัวร้อยละ 78 ของจำนวนที่นั่งปี 2562) โดยเฉพาะการเปิดเที่ยวบินจากจีน ระหว่างวันที่ 26 เมษายน – 5 พฤษภาคม 2567 ใน 5 เส้นทาง (เส้นทางละ 1 เที่ยวบิน/วัน) ดังนี้ 1. สายการบิน Spring Airlines เส้นทางจากซัวเถา-กรุงเทพฯ และเซี่ยงไฮ้-กรุงเทพฯ 2. สายการบิน China Southern Airlines เส้นทางจากนครกว่างโจวเข้าสู่กรุงเทพฯ และภูเก็ต และ 3. สายการบิน Xiamen Airlines Company เส้นทางจากเซี่ยเหมิน-กรุงเทพฯ สำหรับรองรับการเดินทางช่วงวันหยุดยาววันแรงงานของจีน
- การดำเนินกิจกรรมด้านการตลาดการท่องเที่ยวของ ททท. กระตุ้นการเดินทางเข้าไทยของนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น การประชาสัมพันธ์กิจกรรมสงกรานต์ในไทยผ่านผู้ประกอบการท่องเที่ยวร่วมกับพันธมิตร การเสนอขายเส้นทางคาราวานรถยนต์จากจีนเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยใน 4 เส้นทาง คือ เชียงของ จังหวัดเชียงราย ด่านห้วยโก๋น จังหวัดน่าน ด่านท่าลี่ จังหวัดเลย และด่านหนองคาย จังหวัดหนองคาย โดยมีระยะเวลาวันพักในไทย 7-14 วัน และการส่งเสริมที่มุ่งเน้นการขายผ่าน Online Platform อาทิ การเปิดตัว Mini Program D-Hub เป็นช่องทางหนึ่งในการให้ข้อมูลข่าวสารอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการท่องเที่ยวประเทศไทย และสามารถจองบัตรโดยสารเครื่องบิน สินค้า แพ็กเกจการบริการทางการท่องเที่ยว รวมไปถึงการจัดทำ Live Streaming ขายบัตรโดยสารเครื่องบินราคาพิเศษ เพื่อกระตุ้นการเดินทางเข้าไทยของนักท่องเที่ยวจีนในช่วงวันหยุดยาววันแรงงาน และการผลักดันเที่ยวบิน Charter Flight โดยร่วมกับ OTA อาทิ ร่วมกับสายการบิน Tiger Air เปิดเที่ยวบิน Charter Flight เส้นทางบินไทเป-ภูเก็ต
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ท่องเที่ยวของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือมีปัจจัยที่เป็นอุปสรรคในการเดินทางเข้าไทยคือ ค่าเงินเยนของตลาดญี่ปุ่นอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องส่งผลต่อจำนวนนักท่องเที่ยวญี่ปุ่น ในเดือนพฤษภาคม 2567 ค่าเงินบาทต่อ 100 เยน ลงมาที่ระดับต่ำกว่า 23 บาท ต่อ 100 เยน โดยค่าเงินที่อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องนั้น ส่งผลต่อการตัดสินใจเดินทางของนักท่องเที่ยวญี่ปุ่น ทำให้การฟื้นตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวล่าช้ากว่าตลาดอื่น ๆ ในภูมิภาค โดยช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน 2567 นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นเดินทางเข้าไทยมีจำนวนสะสม 2 แสนคน คิดเป็นสัดส่วนฟื้นตัวเพียงร้อยละ 54 ของช่วงเวลาเดียวกันในปี 2562 เมื่อเทียบกับตลาดอื่น ๆ ในภูมิภาคที่มีการฟื้นตัวมากกว่าร้อยละ 60
ภูมิภาคอาเซียน
เข้าสู่ช่วงปิดภาคเรียนและวันหยุดปีใหม่อาเซียน ส่งผลให้นักท่องเที่ยวจากภูมิภาคอาเซียนครองสัดส่วนเดินทางเข้าไทยมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 34 ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดที่เดินทางเข้าไทย โดยสถานการณ์การเดินทางของนักท่องเที่ยวอาเซียนเดือนเมษายน-มิถุนายน 2567 คาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคอาเซียนเดินทางเข้าไทยราว 2,771,877 คน ขยายตัวร้อยละ 10 และสร้างรายได้ทางการท่องเที่ยวประมาณ 84,022 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก
- นักท่องเที่ยวอาเซียนนิยมเดินทางเที่ยวไทยในวันหยุดยาวและปิดภาคเรียน โดยเฉพาะชาวมาเลเซียนิยมเดินทางท่องเที่ยวในเดือนเมษายน เทศกาลฮารีรายอ หรือวันปีใหม่ของมาเลเซีย และในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมที่มีช่วงปิดภาคเรียน 1 สัปดาห์ เช่นเดียวกับสิงคโปร์และเวียดนาม มีช่วงปิดภาคเรียนในเดือนมิถุนายน ส่งผลให้กลุ่มครอบครัวตลาดดังกล่าวมีการเดินทางท่องเที่ยวไทยเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 10-15 เมื่อเทียบกับช่วงอื่น ๆ
- จำนวนที่นั่งเครื่องบินในภูมิภาคอาเซียนมีจำนวน 3.2 ล้านที่นั่ง (คิดเป็นสัดส่วนการฟื้นตัวร้อยละ 85 ของจำนวนที่นั่งปี 2562) และการเปิดเส้นทางบินใหม่ อาทิ สายการบิน Scoot เส้นทางสิงคโปร์-สมุย ในเดือนเมษายน 2567 สายการบิน Jetstar เส้นทางสิงคโปร์-กระบี่ ในเดือนมิถุนายน 2567 เป็นการเพิ่มโอกาสให้นักท่องเที่ยวจากภูมิภาคอาเซียนเดินทางเข้าประเทศไทยเพิ่มขึ้น
- การดำเนินกิจกรรมด้านการตลาดการท่องเที่ยวของ ททท. เพื่อกระตุ้นการเดินทางของนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคอาเซียนเข้าไทย อาทิ การประชาสัมพันธ์งาน “Maha Songkran World Water Festival 2024” ร่วมกับสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมะนิลา การประชาสัมพันธ์ประเทศไทยผ่านอาหารไทย (Food) เทศกาลสงกรานต์ (Festival) เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวประเทศไทยในช่วงเดือนเมษายน การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายตั๋วเครื่องบินราคาพิเศษ และการส่งเสริมการตลาดร่วมกับพันธมิตร KLOOK จัดทำคอนเทนต์และวิดีโอโพรโมตท่องเที่ยวไทยและโพรโมชันแคมเปญ ไปจนถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบคาราวานทางบกจากเวียดนามและกัมพูชา ในกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว มอเตอร์ไซค์ หรือบิ๊กไบค์
อย่างไรก็ตาม ประเด็นฉุดรั้งการเติบโตของภูมิภาคอาเซียน อาทิ
- การแข่งขันเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคอาเซียนสูงขึ้น เช่น ญี่ปุ่น จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายในเวียดนาม และดึงดูดการเดินทางเข้าญี่ปุ่นในช่วงฤดูใบไม้ผลิจากการประกาศช่วงเวลาดอกซากุระบาน
- ความสะดวกในการเดินทางเชื่อมโยงเส้นทางทางบกของนักท่องเที่ยวอาเซียนไปยังแถบเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะการเดินทางของนักท่องเที่ยวเวียดนามไปยังจีน ลาว กัมพูชา โดยเส้นทางรถไฟ รถยนต์ และรถโดยสาร เนื่องจากประหยัดราคา เช่นเดียวกับลาว มีเส้นทางรถไฟลาว-จีน และมีการเพิ่มจำนวนเที่ยวรถไฟ จึงเป็นทางเลือกให้นักท่องเที่ยวลาวมีโอกาสเดินทางไปท่องเที่ยวจีนมากขึ้น
- อากาศร้อนจัดในไทยและอาเซียน ทำให้นักท่องเที่ยวแสวงหาและเลือกเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวที่มีสภาพอากาศหนาวเย็น อาทิ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้
- อัตราเงินเฟ้อสูงในลาวส่งผลให้ประชาชนประหยัดการใช้จ่าย และมีผลต่อจำนวนนักท่องเที่ยวลาวเข้าไทยในช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน 2567 โดยมีสัดส่วนการฟื้นตัวร้อยละ 67 ของปี 2562
ภูมิภาคยุโรป
นักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทยปรับตัวลดลงตามแนวโน้มปกติช่วง Low Season คาดว่าเดือนเมษายน-มิถุนายน 2567 จะมีนักท่องเที่ยวยุโรปเดินทางเข้าไทยจำนวน 1,117,817 คน ขยายตัวร้อยละ 20 สร้างรายได้ทางการท่องเที่ยวประมาณ 68,739 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 11 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 โดยตลาดที่มีสัดส่วนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทยมากที่สุดในระดับ 100,000 คนขึ้นไปคือ รัสเซีย สหราชอาณาจักร เยอรมนี และฝรั่งเศส โดยเฉพาะรัสเซียได้อานิสงส์การขยายช่วงเวลายกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยว (Visa Exemption) ให้แก่นักท่องเที่ยวรัสเซีย สิทธิ์พำนักในไทยสูงสุดไม่เกิน 60 วัน เป็นกรณีพิเศษและเป็นการชั่วคราวออกไป 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม – 31 ตุลาคม 2567 จากเดิมกำหนดสิ้นสุดการยกเว้นฯ วันที่ 30 เมษายน 2567 ช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวรัสเซียเดินทางเข้าไทยต่อเนื่องแม้เข้าสู่ช่วง Low Season นอกจากนี้ตลาดยุโรปตะวันออกมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นสูงถึงร้อยละ 35 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 เนื่องจากตลาดนักท่องเที่ยวคาซัคสถานมีสัดส่วนนักท่องเที่ยวมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 30 ของนักท่องเที่ยวยุโรปตะวันออกเข้าไทยทั้งหมด และผลตอบรับที่ดีของตลาดคาซัคสถานหลังรัฐบาลไทยยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยว (Visa Exemption) ให้แก่นักท่องเที่ยวคาซัคสถาน สิทธิ์พำนักในไทยสูงสุดไม่เกิน 30 วัน ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวคาซัคสถานเข้าไทยเดือนเมษายน-มิถุนายน 2567 ขยายตัวร้อยละ 7 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 หรือขยายตัวสูงร้อยละ 465 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 สำหรับปัจจัยสนับสนุนที่ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยของนักท่องเที่ยวยุโรปอื่น ๆ คือ
- กิจกรรมการดำเนินงานส่งเสริมตลาดของสำนักงาน ททท. ในยุโรป มุ่งเน้นไปที่กลุ่มใช้จ่ายสูงในไทย อาทิ Joint Marketing Campaign ร่วมกับบริษัทนำเที่ยวและสายการบิน กระตุ้นการเดินทางของกลุ่มกีฬากอล์ฟ กลุ่ม Health and Well-being และขับเคลื่อนการเดินทางของนักท่องเที่ยวกลุ่มศักยภาพไปสู่เมืองน่าเที่ยว นอกเหนือจากเมืองภูเก็ต กรุงเทพฯ อาทิ ตลาดคาซัคสถาน โดยความร่วมมือของ ททท. สายการบิน Scat Airlines และบริษัททัวร์รายใหญ่ Selfie Travel และ Fun & Sun ขยายเส้นทางบินตรงแบบเช่าเหมาลำ รองรับนักท่องเที่ยวคาซัคสถานซึ่งนิยมเดินทางเป็นกลุ่มครอบครัว ชื่นชอบทะเลและชายหาด ในเส้นทางอัลมาตี-สุราษฎร์ธานี ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-กันยายน 2567 จำนวน 212 ที่นั่ง ความถี่ 1 เที่ยวบินทุก 10 วัน (รวม 13 เที่ยวบิน) รวมถึงช่วยเพิ่มโอกาสส่งเสริมตลาดของ ททท. ไปยังพื้นที่ใกล้เคียงแถบกลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราชหรือ CIS (เบลารุส อาร์เมเนีย คาซัคสถาน มอลโดวา อาเซอร์ไบจาน คีร์กิซ อุซเบกิสถาน ทาจิกิสถาน เติร์กเมนิสถาน ยูเครน) ให้สามารถเดินทางมาท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมอื่น ๆ สะดวกขึ้น เช่น เกาะสมุย เกาะพะงัน เกาะเต่า พื้นที่ท่องเที่ยวในจังหวัดสุราษฎร์ธานีและกระบี่ รวมถึงสร้างโอกาสส่งเสริมการเดินทางกลุ่มยุโรปใต้ (ตลาดสเปน โปรตุเกส อิตาลี) โดยความร่วมมือของ ททท. กับสายการบิน Iberojet ในเส้นทางมาดริด-กรุงเทพฯ 1 เที่ยวบิน/สัปดาห์ ตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคม–ธันวาคม 2567
- เทศกาลหยุดยาวในตลาดยุโรปก่อนสิ้นสุดฤดูกาลการท่องเที่ยวไทย อาทิ เทศกาลอีสเตอร์ (วันที่ 29 มีนาคม – 1 เมษายน 2567) และวันหยุดปิดภาคเรียน 2 สัปดาห์ (ช่วงวันที่ 29 มีนาคม – 12 เมษายน 2567) ผนวกกับช่วงวันหยุดสำคัญทางศาสนาของชาวยิว “Passover” สำหรับนักท่องเที่ยวอิสราเอล (ช่วงวันที่ 22-30 เมษายน 2567) แม้ว่าสถานการณ์ในอิสราเอลยังคงอยู่ในช่วงภาวะสงครามและค่าบัตรโดยสารเครื่องบินมีราคาสูงก็ตาม ไทยยังคงเป็นตัวเลือกหนึ่งในจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมของนักท่องเที่ยวอิสราเอล ในเดือนเมษายน–มิถุนายน 2567 นักท่องเที่ยวอิสราเอลเข้าไทยมีจำนวน 56,243 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 33 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 หรือสัดส่วนการฟื้นตัวร้อยละ 152 ของปี 2562
- “กรุงเทพมหานคร” เป็นเมืองที่ได้รับความนิยม สำหรับนักท่องเที่ยวที่มองหาการเดินทางแบบระยะไกล (Long Haul) จากข้อมูลเผยแพร่โดยเว็บไซต์ Kayak.com อีกทั้งประเทศไทยเป็น Top of Mind และมีภาพลักษณ์ของแหล่งท่องเที่ยวระยะไกลยอดนิยมประเภทชายหาดและแสงแดด เทียบเคียงมัลดีฟส์ โดมินิกัน มอรีเชียส และสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ความหลากหลายของสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยว รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่สามารถตอบสนองได้ทุกความต้องการและการมุ่งเน้นพัฒนาสู่ความยั่งยืน เป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ประเทศไทย และกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวตัดสินใจเดินทางมาท่องเที่ยวไทยมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคในการเดินทางเข้าไทยของนักท่องเที่ยวยุโรป
1) จำนวนเที่ยวบินในเส้นทางไปยังประเทศไทยลดลงในช่วงฤดูร้อน ตามแนวโน้มความต้องการเดินทางมายังประเทศไทยชะลอตัวลงช่วง Low Season รวมถึงบางตลาดยังไม่มีเที่ยวบินตรงรองรับการเดินทางได้เพียงพอ อาทิ โปแลนด์ เช็ก อิตาลี
2) สถานการณ์แข่งขันด้านการท่องเที่ยวในเอเชียและแปซิฟิกเพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2567 โดยเฉพาะเวียดนามและจีน (ไหหนาน) ซึ่งมีจุดเด่นของแหล่งท่องเที่ยวประเภท Beach Destination คล้ายคลึงประเทศไทย มีการส่งเสริมตลาดเชิงรุกมากขึ้นจากการผ่อนคลายมาตรการวีซ่าเข้าประเทศ ประกอบกับ
3) อากาศร้อนจัดของไทย ขณะเดียวกันแหล่งท่องเที่ยวแถบยุโรป/นอร์ดิกและบอลติคอากาศอบอุ่นเร็วขึ้น ช่วงฤดูใบไม้ผลิในเดือนเมษายน-พฤษภาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้นักท่องเที่ยวบางส่วนเลือกเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศหรือภายในภูมิภาคยุโรปมากขึ้น
ภูมิภาคอเมริกา
จำนวนนักท่องเที่ยวภาพรวมปรับตัวลดลงเป็นไปตามแนวโน้มปกติ เช่นเดียวกับภูมิภาคยุโรป คาดว่าในเดือนเมษายน-มิถุนายน 2567 จะมีนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคอเมริกาเดินทางเข้าไทยจำนวน 301,272 คน ขยายตัวร้อยละ 8 และสร้างรายได้ทางการท่องเที่ยวประมาณ 18,710 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 ตลาดหลักที่มีสัดส่วนนักท่องเที่ยวมากที่สุดคือ สหรัฐอเมริกา ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 6 แคนาดา ขยายตัวร้อยละ 13 ส่วนตลาดขนาดเล็กอื่น ๆ เช่น บราซิลและอาร์เจนตินา มีอัตราการขยายตัวร้อยละ 18-25 โดยมีปัจจัยสนับสนุนการเดินทางของนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคอเมริกาเข้าไทย ดังนี้
- การเปิดบริการเส้นทางบินเชื่อมโยงฮับการบินในตะวันออกกลางมายังประเทศไทย อาทิ สายการบิน Emirates ในเส้นทางบินโบโกตา (โคลอมเบีย)-ดูไบ ช่วยส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวจากโคลอมเบียเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยสะดวก ซึ่งตลาดโคลอมเบียถือเป็นหนึ่งใน Rising Star ของภูมิภาคละตินอเมริกาที่น่าจับตามองของ ททท. และมีโอกาสที่จะมุ่งเน้นส่งเสริมตลาดให้เติบโตในอนาคตเนื่องจากมีการเดินทางท่องเที่ยวระหว่างประเทศเติบโตเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงความนิยมจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวประเทศไทย
- กิจกรรมการดำเนินงานส่งเสริมตลาดของสำนักงาน ททท. ในภูมิภาคอเมริกา ส่วนใหญ่เป็นกิจกรรม Joint Promotion ร่วมกับพันธมิตร นำเสนอแพ็กเกจท่องเที่ยวช่วงเทศกาลสงกรานต์ในเดือนเมษายน ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ประเทศไทย ส่งเสริมภาพลักษณ์ประเทศไทย Pride Friendly Destination และ Tourism Hub จุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวที่พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกกลุ่ม และกระตุ้นการเดินทางของนักท่องเที่ยวกลุ่ม LGBTQ+ มายังประเทศไทยผ่านกิจกรรมงานเฉลิมฉลอง PRIDE MONTH ในเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมทั่วประเทศ อาทิ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต เกาะสมุย พัทยา และนครราชสีมา ด้วยการสนับสนุนการจัดอีเวนต์กิจกรรมขบวนพาเหรด ดนตรี มหกรรมการแสดงศิลปิน Drag Queen ฯลฯ ระหว่างวันที่ 25 พฤษภาคม – 29 มิถุนายน 2567 ผนวกกับภูมิภาคอเมริกาเตรียมความพร้อมมุ่งเน้นตลาดนักท่องเที่ยวระยะไกล (Super Long Haul Market) คณะผู้บริหาร ททท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังอยู่ระหว่างเตรียมการเปิดสำนักงานชิคาโกอย่างเป็นทางการในเดือนสิงหาคม 2567 ณ สถานกงสุลใหญ่ นครชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีการประชุมวางแผนทิศทางการดำเนินงานและโอกาสการส่งเสริมการตลาดร่วมกับสถานกงสุลใหญ่และสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครชิคาโก เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2567 เพื่อกระตุ้นนักท่องเที่ยวคุณภาพระดับกลาง-บนเข้าไทย จากพื้นที่ตอนกลางของสหรัฐอเมริกาและประเทศแคนาดาระยะถัดไป
ทั้งนี้ ความผันผวนของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงทำให้ราคาบัตรโดยสารเครื่องบินจากตลาดระยะไกลมายังประเทศไทยปรับตัวสูงขึ้น สถานการณ์ความไม่แน่นอนของสงครามในอิสราเอลและพื้นที่แถบตะวันออกกลางยังคงเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของตลาดนักท่องเที่ยวภูมิภาคอเมริกาเข้าไทย โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวระดับกลาง-ล่าง ที่มีข้อจำกัดงบประมาณใช้จ่ายสำหรับการเดินทางท่องเที่ยวระยะไกล อย่างไรก็ตามตลาดบราซิลและละตินอเมริกาที่มีศักยภาพในเดินทางมาท่องเที่ยวไทย ในช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน 2567 ถือเป็นกลุ่มนักเดินทางที่มีรายได้สูงประกอบกับเศรษฐกิจภายในประเทศมีแนวโน้มฟื้นตัว จึงไม่ได้รับผลกระทบในภาพรวม
ภูมิภาคเอเชียใต้
มีสัดส่วนนักท่องเที่ยวภาพรวมคิดเป็นร้อยละ 8 ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 6 เมื่อเทียบช่วง 3 เดือนก่อนหน้า ตลาดหลัก “อินเดีย” ยังคงจัดเป็นตลาดในอันดับ TOP 3 ของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยทั้งหมด ในช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน 2567 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคเอเชียใต้เดินทางเข้าไทยจำนวน 652,879 คน ขยายตัวร้อยละ 29 และสร้างรายได้ทางการท่องเที่ยวประมาณ 25,027 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 23 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก
- เทศกาลสงกรานต์ ภายใต้โครงการ Maha Songkran World Water Festival 2024 เย็นทั่วหล้า มหาสงกรานต์ 2567 ช่วยกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวอินเดียเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทยมากขึ้น โดยในเดือนเมษายน มีจำนวนนักท่องเที่ยวอินเดียเข้าไทย 170,635 เพิ่มขึ้นร้อยละ 28 เมื่อเทียบกับเดือนเมษายนปี 2566 สูงสุดเป็นอันดับที่ 3 ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดที่เดินทางเข้าไทย รองจากตลาดนักท่องเที่ยวจีนและมาเลเซีย
- ตลาดอินเดียยังคงมีการตอบสนองต่อมาตรการ Visa Exemption ของไทย หลังมีการขยายเวลามาตรการฯ ออกไป 6 เดือน เริ่มตั้งแต่วันที่ 11 พฤษภาคม – 11 พฤศจิกายน 2567 ช่วยส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวอินเดียตัดสินใจเดินทางมาพักผ่อนในไทยเพิ่มขึ้น โดยในเดือนเมษายน-มิถุนายน 2567 คาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวอินเดียเข้าไทย 569,235 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2566 ซึ่งตลาดอินเดียเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพและกำลังซื้อสูง ส่วนใหญ่เดินทางรูปแบบครอบครัวใหญ่และนิยมเดินทางมาจัดงานแต่งงานในไทย
- จำนวนที่นั่งโดยสารเครื่องบินจากภูมิภาคเอเชียใต้เข้าไทย มีจำนวน 952,226 ที่นั่ง คิดเป็นสัดส่วนการฟื้นตัวร้อยละ 93 ของจำนวนที่นั่งปี 2562 โดยตลาดอินเดียมีจำนวนที่นั่งสูงสุดอยู่ที่ 692,386 ที่นั่ง (สัดส่วนการฟื้นตัวร้อยละ 95 ของจำนวนที่นั่งปี 2562) ทั้งนี้ มีการเปิดเที่ยวบินใหม่และเส้นทางบินใหม่เข้าไทยจากตลาดอินเดีย ศรีลังกา และบังกลาเทศ ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางเข้าไทยมากขึ้น (ข้อมูล OAG ณ วันที่ 5 พฤษภาคม 2567)
- การดำเนินกิจกรรมด้านการตลาดการท่องเที่ยวของ ททท. เพื่อกระตุ้นการเดินทางของนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคเอเชียใต้เข้าไทย อาทิ
- ผลักดันนักท่องเที่ยวกลุ่ม Incentive ของอินเดีย จากการจัดงาน Magic 2024 ของบริษัท Brilvoice Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทจัดการเดินทางขนาดใหญ่ของอินเดีย โดยมีนักท่องเที่ยวอินเดียจาก 25 ประเทศทั่วโลกกว่า 8,000 คน เดินทางมาร่วมกิจกรรม ททท. จึงใช้โอกาสนี้ในการจัดงานต้อนรับและโพรโมตการท่องเที่ยวไทย ซึ่งนักท่องเที่ยวอินเดียถือเป็นตลาดศักยภาพที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทยอย่างต่อเนื่อง ติดอยู่ใน 5 อันดับแรกของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยสูงสุดในปี 2567
- การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเพื่อรักษาฐานตลาด และกระตุ้นกระแสการเดินทางของนักท่องเที่ยวตลาดอินเดีย โดยส่งเสริมการตลาด Search Engine และกระตุ้นการขายผ่านสื่อออนไลน์และสื่อโฆษณาหนังสือพิมพ์ชั้นนำ เพื่อนำเสนอขายรายการนำเที่ยว สินค้า และบริการทางการท่องเที่ยวของไทย
- มุ่งเน้นกลุ่มนักท่องเที่ยว Re-Visitor โดยจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายภายใต้โครงการ “The Re-Visitor: Amazing Thailand is Part of Your Life” เพื่อประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวและกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวไทย ผ่าน Social Media สื่อวิทยุ และ Influencers
- การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายร่วมกับสายการบิน เพื่อกระตุ้นยอดขายในแหล่งท่องเที่ยวเมืองรองของอินเดียช่วง Low Season
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ท่องเที่ยวของภูมิภาคเอเชียใต้มีปัจจัยที่เป็นอุปสรรคในการเดินทางเข้าไทย คือ
- การส่งเสริมตลาดการท่องเที่ยวของประเทศคู่แข่งขันของไทย อาทิ เวียดนาม วางกลยุทธ์การตลาดการท่องเที่ยวเพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งทางการตลาดของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยมุ่งส่งเสริมให้เวียดนามเป็นจุดหมายปลายทางชั้นนำของภูมิภาคอาเซียน ด้วยการดึงดูดตลาดใหม่ ได้แก่ อินเดีย และประเทศตะวันออกกลาง รวมทั้งนโยบายวีซ่าใหม่ E-Visa ของเวียดนามที่ให้สิทธินักท่องเที่ยวอินเดียพำนักในเวียดนามได้สูงสุด 90 วัน ทำให้การเตรียมเอกสารเพื่อยื่นวีซ่าเข้าเวียดนามของนักท่องเที่ยวอินเดียสะดวกขึ้น ลดเวลารอคอยเพื่อเดินทางท่องเที่ยว ลดข้อกังวลเกี่ยวกับการยื่นต่ออายุวีซ่าในระยะสั้น นอกจากนี้ เวียดนามถือเป็นคู่แข่งขันสำคัญในภูมิภาคอาเซียนที่มีทรัพยากรการท่องเที่ยวและงบประมาณจำนวนมากในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวและกิจกรรมใหม่ ๆ ที่สามารถดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยวอินเดียได้ โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวประเภท Man-made Attraction เช่นเดียวกับดูไบ ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ เวียดนาม และศรีลังกา
- ค่าบัตรโดยสารเครื่องบินมาไทยมีราคาสูงมากเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง เช่น เวียดนาม และอินโดนีเซีย ทำให้นักท่องเที่ยวเปลี่ยนจุดหมายการเดินทางไปยังประเทศอื่นแทนเมื่อเปรียบเทียบราคาและความคุ้มค่าของการเดินทาง
- นโยบายส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศของรัฐบาลอินเดีย โดยรัฐบาลอินเดียได้ประกาศขอความร่วมมือให้ชาวอินเดียเดินทางท่องเที่ยวในประเทศมากขึ้น แทนการเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ ตามนโยบาย “Travel in India” ของรัฐบาลอินเดีย
- ต้นทุนการเดินทางที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการจัดเก็บภาษีของรัฐบาลอินเดีย สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศอยู่ที่ร้อยละ 20 (จากเดิมร้อยละ 5) หากมียอดการใช้จ่ายสูงกว่า 7 แสนรูปี ส่งผลต่อการตัดสินใจเดินทางออกต่างประเทศของกลุ่มนักท่องเที่ยวระดับกลาง-สูง หรือครอบครัวที่เดินทางเป็นกลุ่มขนาดใหญ่
ภูมิภาคโอเชียเนีย
นักท่องเที่ยวตลาดโอเชียเนียเดินทางเข้าไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเดือนเมษายน-มิถุนายน 2567 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคโอเชียเนียจำนวน 199,506 คน ขยายตัวร้อยละ 4 และสร้างรายได้ทางการท่องเที่ยวประมาณ 11,566 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 โดยมีปัจจัยเกื้อหนุนให้เกิดการเดินทางเข้าไทยคือ
- กระแสการเดินทางท่องเที่ยวช่วงวันหยุดยาว อาทิ วันปิดภาคเรียน (School Holiday) และวันหยุดยาวเทศกาลอีสเตอร์ (Easter) ประมาณ 2 สัปดาห์ในช่วงต้นเดือนเมษายน (ระหว่างวันที่ 29 มีนาคม – 12 เมษายน 2567) ทำให้มีการเดินทางท่องเที่ยวออกต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
- จำนวนที่นั่งโดยสารเครื่องบินจากภูมิภาคโอเชียเนียเข้าไทย มีจำนวน 224,780 ที่นั่ง (ข้อมูล OAG ณ วันที่ 5 พฤษภาคม 2567) คิดเป็นสัดส่วนฟื้นตัวร้อยละ 95 ของจำนวนที่นั่งปี 2562 โดยเป็นจำนวนที่นั่งของเที่ยวบินตรงมาจาก 3 เมืองของออสเตรเลียคือ ซิดนีย์ เมลเบิร์น และเพิร์ธ โดยสายการบิน JetStar, Qantas, Thai Airways และ Thai AirAsiaX ในขณะที่ตลาดนิวซีแลนด์ยังไม่มีเที่ยวบินตรงรองรับการเดินทางเข้าไทย นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางด้วยเที่ยวบินเชื่อมโยงมาจากสิงคโปร์และมาเลเซีย นอกจากนี้ สายการบินไทยกลับมาให้บริการในเส้นทางเพิร์ธ-กรุงเทพฯ 7 เที่ยวบิน/สัปดาห์ และเพิ่มความถี่เที่ยวบินตรงเป็น 2 เที่ยวบินต่อวัน ในเส้นทางซิดนีย์-กรุงเทพฯ ทำให้จำนวนที่นั่งโดยสารเครื่องบินเพิ่มขึ้นในช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน 2567 และอำนวยความสะดวกในการเดินทางให้กับนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคโอเชียเนียมากขึ้น
- ททท. จัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดการท่องเที่ยวในภูมิภาคโอเชียเนีย เพื่อกระตุ้นการเดินทางและการใช้จ่ายในการทำกิจกรรมทางการท่องเที่ยวในไทย อาทิ
- Joint Promotion กับ OTA รายใหญ่ในตลาดโอเชียเนีย เช่น Expedia Group, Webjet โดยนำเสนอขายที่พักและสายการบินราคาพิเศษ เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจเดินทางเที่ยวไทยเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ ภูเก็ต เกาะสมุย และเชียงใหม่
- มุ่งเน้นนักท่องเที่ยวกลุ่ม Wedding & Honeymoon โดยจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายแพ็กเกจแต่งงานและฮันนีมูนในไทย รวมทั้งแพ็กเกจกิจกรรมด้านการท่องเที่ยวสำหรับผู้เข้าร่วมงาน เพื่อเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวและค่าใช้จ่ายของกลุ่ม Wedding & Honeymoon
- ส่งเสริมนักท่องเที่ยวคุณภาพกลุ่ม Golf เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายนักท่องเที่ยวคุณภาพกลุ่มความสนใจพิเศษ โดยจัดกิจกรรม Joint Promotion ร่วมกับเอเย่นต์กอล์ฟรายใหญ่ที่ได้รับความไว้วางใจในตลาดออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ เพื่อเสนอขายแพ็กเกจเล่นกอล์ฟในไทย และส่งเสริมการขายแพ็กเกจกอล์ฟทัวร์นาเมนต์ปี 2567 พื้นที่กรุงเทพฯ หัวหิน พัทยา ภูเก็ต กระบี่ และเขาหลัก
- การส่งเสริมการขายบัตรโดยสารเครื่องบินราคาพิเศษ ร่วมกับสายการบินและ OTA ในช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน 2567
ปัจจัยอุปสรรคที่มีผลต่อการตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยวและการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคโอเชียเนียไตรมาสนี้คือ
- ค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น สินค้าอุปโภคบริโภคที่สำคัญขึ้นราคา ได้แก่ น้ำมันรถยนต์ ค่าเช่า การซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ และค่าไฟฟ้า ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายต่อครัวเรือนของชาวออสเตรเลียเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ส่งผลกระทบต่อการวางแผนเดินทางท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดยาว/เทศกาล
- สถานการณ์การแข่งขันด้านการท่องเที่ยวประเทศคู่แข่งเข้มข้นขึ้น อาทิ เวียดนาม วางแผนส่งเสริมตลาดการท่องเที่ยวโดยการรักษาฐานตลาดและขยายขนาดของตลาดเดิมคือ ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ อาเซียน ยุโรป รัสเซีย อเมริกาเหนือ และโอเชียเนีย เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีกำลังซื้อสูงและใช้เวลาพำนักนานขึ้น ซึ่งนักท่องเที่ยวออสเตรเลียถือเป็นตลาดศักยภาพของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเวียดนาม อีกทั้งยังมีเที่ยวบินตรงที่เชื่อมต่อระหว่างสองประเทศ จึงมีส่วนช่วยในการดึงดูดนักท่องเที่ยวออสเตรเลียเดินทางไปยังเวียดนาม ทั้งนี้ ข้อมูลจากกรมการท่องเที่ยวแห่งชาติเวียดนามระบุว่า ในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 จำนวนนักท่องเที่ยวออสเตรเลียที่เดินทางท่องเที่ยวเวียดนามเพิ่มขึ้นร้อยละ 136 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 ซึ่งตลาดออสเตรเลียติดอยู่ใน 10 อันดับแรกของตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดที่เดินทางเข้าเวียดนาม
ภูมิภาคตะวันออกกลาง
คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดือนเมษายน-มิถุนายน 2567 จำนวน 244,016 คน ขยายตัวร้อยละ 30 และสร้างรายได้ประมาณ 20,266 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 21 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 โดยตลาดดาวรุ่ง (Rising Star) “ซาอุดีอาระเบีย” มีจำนวนนักท่องเที่ยว 57,722 คน ขยายตัวร้อยละ 37 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 หรือมีสัดส่วนฟื้นตัวร้อยละ 626 ของปี 2562 ปัจจัยสนับสนุนต่อการเดินทางของนักท่องเที่ยวตะวันออกกลางเข้าไทยคือ
- วันหยุดปิดภาคเรียน/เทศกาลวันหยุดยาวทางศาสนาในภูมิภาคตะวันออกกลาง ช่วยกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวตะวันออกกลางเดินทางท่องเที่ยวออกต่างประเทศ โดยเฉพาะกระแสการเดินทางท่องเที่ยวมายังประเทศไทยของนักท่องเที่ยวมุสลิมหลังฤดูถือศีลอดสิ้นสุด (Eid Al-Fitr) ในปีนี้ตรงกับวันที่ 9 เมษายน 2567 และการเดินทางกลุ่มครอบครัวในช่วงปิดภาคเรียนฤดูใบไม้ผลิ (ช่วงวันที่ 25 มีนาคม – 14 เมษายน 2567) ซึ่งตรงกับช่วงการจัดงานเทศกาลสงกรานต์ในไทย Maha Songkran World Water Festival 2024 เย็นทั่วหล้า มหาสงกรานต์ 2567 (วันที่ 11-15 เมษายน 2567) และการเดินทางท่องเที่ยวหลีกหนีอากาศอบอ้าวในตะวันออกกลางในเดือนมิถุนายน ซึ่งมีวันหยุดยาวทางศาสนาของมุสลิม Eid Al-Adha (ช่วงวันที่ 15–18 มิถุนายน 2567)
- การส่งเสริมตลาดการท่องเที่ยวของ ททท. ในพื้นที่ตะวันออกกลาง มุ่งเน้นไปยังกลุ่มครอบครัวที่มีกำลังซื้อ กลุ่มท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและความงาม (Health and Wellness) โดยเข้าร่วมงาน Arabian Travel Market (ATM) 2024 ณ เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ระหว่างวันที่ 6-9 พฤษภาคม 2567 โดยมีการเจรจาพันธมิตรทางธุรกิจ ควบคู่กับการขายกิจกรรมท่องเที่ยวตามความสนใจหลากหลายของนักท่องเที่ยวตะวันออกกลาง นอกจากนี้ในช่วงวันหยุดยาวของพื้นที่ตะวันออกกลาง ททท. ได้จัดกิจกรรม Joint Sales Promotion with WEGO ในพื้นที่กลุ่มประเทศความร่วมมืออ่าวอาหรับ Gulf Cooperation Council (GCC) 6 ประเทศ ได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย คูเวต โอมาน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) กาตาร์ และบาห์เรน
สำหรับปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการเดินทางท่องเที่ยวภูมิภาคตะวันออกกลางหลัก ๆ ไตรมาสนี้คือ ความตึงเครียดของสงครามระหว่างอิสราเอลและอิหร่านไม่มีทีท่ายุติ บั่นทอนบรรยากาศการเดินทางท่องเที่ยวในพื้นที่แถบตะวันออกกลาง ทำให้สายการบินระหว่างประเทศมีความจำเป็นต้องทำการบินอ้อมพื้นที่ที่เกิดความไม่สงบจากสถานการณ์ดังกล่าว นักท่องเที่ยวบางส่วนเกิดความไม่สะดวกจากการใช้ระยะเวลาเดินทางยาวนานขึ้น ทั้งนี้สงครามระหว่างอิสราเอลและอิหร่านยังไม่ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์การท่องเที่ยวไทยภาพรวมแต่อย่างใด เนื่องจากไม่มีการยกระดับมาตรการระหว่างประเทศที่ทำให้เกิดข้อจำกัดการเดินทางของนักท่องเที่ยวมายังประเทศไทย โดยต้องติดตามสถานการณ์ใกล้ชิดเป็นระยะ ๆ
ภูมิภาคแอฟริกา
แม้มีสัดส่วนนักท่องเที่ยวเข้าไทยน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น ๆ แต่สถานการณ์เดินทางเข้าไทยของนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคแอฟริกาปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง คาดว่าในเดือนเมษายน-มิถุนายน 2567 จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทยจำนวน 31,964 คน ขยายตัวร้อยละ 16 สร้างรายได้การท่องเที่ยวประมาณ 2,148 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 16 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 โดย ททท. สำนักงานดูไบจัด Joint Promotion กับบริษัทนำเที่ยว และกระตุ้นการเดินทางของกลุ่มตลาดคุณภาพอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์งานเทศกาลสงกรานต์ Maha Songkran World Water Festival 2024 เย็นทั่วหล้า มหาสงกรานต์ 2567 ผ่านสื่อ Social Media เพื่อสร้างการรับรู้งานเทศกาลของไทยสู่ระดับสากลในกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ที่ไม่เคยเดินทางมายังประเทศไทย และสร้าง engagement พร้อมเผยแพร่วีดิทัศน์เกี่ยวกับเทศกาลสงกรานต์ในเดือนเมษายน 2567 ทั้งนี้ปัจจัยราคาบัตรโดยสารเครื่องบินมายังประเทศไทยซึ่งเป็นจุดหมายท่องเที่ยวระยะไกลมีราคาค่อนข้างสูง นักท่องเที่ยวแอฟริกาที่ไทยได้รับจึงมีแนวโน้มเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดบน