
Simply Hot : ร้อนอย่างไรไม่ธรรมดา
โตมร ศุขปรีชา
เรารู้กันอยู่ว่า ในทางภูมิศาสตร์ ฤดูร้อนของไทยเริ่มต้นราวเดือนมีนาคม แล้วจบลงในปลายพฤษภาคม ดังนั้น ถ้าถามว่าตอนนี้เรายังอยู่ในฤดูร้อนหรือเปล่า คำตอบก็คือไม่ใช่
หน้าร้อนจบลงไปแล้ว แต่ความร้อนยังคงอยู่ แม้ฝนจะพรำสาย แต่เหงื่อก็ยังไหล ความชื้นปะปนมากับความร้อนให้ได้รู้สึกอยู่ในสายลม และในบางวัน แสงแดดยังสะท้อนเงาน้ำบนพื้นถนนให้ไหวระริก
จนเราคิดว่าถนนละลายด้วยซ้ำไป
หลายคนคิดว่า ฤดูร้อนของไทยนั้นร้อนขึ้นทุกปี ซึ่งอาจไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสียทั้งหมด แต่ก็พอจะพูดได้ว่า อุณหภูมิสูงสุดตลอดกาลนั้น เกิดขึ้นในระยะหลัง ๆ ไม่กี่ปีมานี้ เช่น อุณหภูมิ 44.6 องศาเซลเซียส นั้น เกิดกับแม่ฮ่องสอน ในปี 2559 และตาก ในปี 2566 ถัดมาคือ 44.5 องศาเซลเซียส เคยเกิดขึ้นกับสุโขทัย ในปี 2559 แต่ก็เคยเกิดขึ้นที่อุตรดิตถ์ ในปี 2503 ด้วยเช่นกัน และถ้าดูอุณหภูมิระดับ 44 องศาเซลเซียสขึ้นไป ก็เคยเกิดขึ้นหลายครั้งในอดีต ตั้งแต่ปี 2501 เรื่อยมา
ความร้อนในระดับ 40 องศาเซลเซียสขึ้นไป ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับเมืองในเขตร้อนอย่างไทยเท่านั้น แต่กระทั่งเมืองใหญ่ ๆ ในซีกโลกเหนือ อย่างเช่น ปารีส โตเกียว หรือโซล ก็เคยเผชิญกับสภาวะร้อนระอุเช่นเดียวกัน อย่างเช่นในปี 2019 ปารีสเคยมีฤดูร้อนที่อุณหภูมิแตะ 42.6 องศาเซลเซียส เนื่องจากเกิดคลื่นความร้อนแผ่ปกคลุมทั้งเมือง หรืออย่างในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่โตเกียวปี 2020 แม้อุณหภูมิจะไม่ถึง 40 องศาเซลเซียส แต่ก็พุ่งขึ้นไปแตะระดับ 35 องศาเซลเซียส และมีความชื้นที่พุ่งขึ้นไปถึง 80% ทำให้นักกีฬาหลายคนต้องถอนตัวเพราะอุณหภูมิแบบ Real Feel นั้นเทียบเท่ากับมากกว่า 40 องศาเซลเซียส
เมืองในเยอรมนีอย่างแฮมเบิร์กซึ่งปกติมีอากาศเย็นสบาย ก็เคยเผชิญกับอุณหภูมิสูงถึง 40.1 องศาเซลเซียส ในปี 2022 มาแล้ว เช่นเดียวกับมหานครแห่งฝนพรำอย่างลอนดอน ก็เคยมีการวัดอุณหภูมิที่สูงถึง 40.2 องศาเซลเซียสได้ ทั้งที่สนามบินฮีทโธรว์และที่สวนเซนต์เจมส์พาร์ค ในปี 2022 เหมือนกัน แม้กระทั่งเมืองหลวงของแคนาดาอย่างออตตาวา ที่มักถูกจินตนาการว่าเป็นดินแดนหิมะ ก็มีช่วงฤดูร้อนที่ร้อนจัดจนรัฐบาลต้องออกคำเตือนสุขภาพ
ในสหรัฐอเมริกาก็ไม่แพ้กัน คลื่นความร้อนที่เกิดขึ้นในฤดูร้อนกลายเป็นสิ่งที่เกิด ‘ถี่’ ขึ้นเรื่อย ๆ เมืองที่อยู่ใกล้ทะเลทรายอย่างลาสเวกัส ฟีนิกซ์ หรือแม้แต่ซานฟรานซิสโกที่เคยมีอากาศเย็น กลับเผชิญวันที่อุณหภูมิแตะ 40 องศาเซลเซียส หลายวันอย่างต่อเนื่อง
แม้กระทั่งเมืองที่มีภูมิอากาศแบบชายฝั่งตะวันตกซึ่งเคยเย็นสบายอย่างซีแอตเทิล ก็มีบันทึกอุณหภูมิสูงถึง 42 องศาเซลเซียส ในช่วงคลื่นความร้อนปี 2021 ซึ่งทำให้ระบบไฟฟ้าและบริการสาธารณสุขในบางพื้นที่ล่มชั่วคราว เรียกว่าไม่ได้มีการเตรียมตัวมาก่อน เพราะเป็นอุณหภูมิที่ร้อนเกินจะคาดคิดกับเมืองที่หนาวขนาดนั้น
คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ – แล้วเราจะ ‘รับมือ’ กับความร้อนเหล่านี้อย่างไร?
อย่างแรกสุดก็คือ เราอาจต้องเลิก ‘ปฏิเสธ’ ความร้อนให้ได้เสียก่อน
ในไทย คนที่มีฐานะหรือร่ำรวยมากพอจะมีชีวิตอยู่ใน ‘อากาศที่ถูกปรับ’ ได้ตลอดเวลา ทั้งที่บ้าน ที่ทำงาน ในรถ หรือในห้างสรรพสินค้า อาจมีอาการ ‘ไม่รู้ร้อนรู้หนาว’ กับสภาพภูมิอากาศเลยก็ได้ เพราะทุกหนทุกแห่งที่พวกเขาอยู่ล้วนแล้วแต่ ‘เย็นฉ่ำ’ แทบทั้งสิ้น แต่ถ้าเรา ‘ปรับตัว’ และ ‘ปรับใจ’ ให้รับรู้ได้ว่า โลกจริง ๆ นั้นมันร้อน เราก็อาจพอเข้าใจได้ว่า ความร้อนนั้นส่งผลกระทบต่อ ‘ความเหลื่อมล้ำ’ ในสังคมได้มากแค่ไหน
ความร้อนเป็นสิ่งที่ ‘กระทบ’ คนไม่เท่ากัน คนที่ยากจนที่สุด โดยเฉพาะคนจนเมือง คือกลุ่มคนที่ต้องพบกับผลกระทบจากความร้อนมากที่สุด ดังนั้น การพูดถึงแค่ ‘ความร้อน’ โดยไม่พูดถึง ‘โครงสร้างสังคม’ จึงไม่ใช่เรื่องที่เพียงพอ
ถ้าโลกร้อนขึ้นเรื่อย ๆ สิ่งที่มนุษย์ต้องเผชิญไม่ได้มีแค่ความร้อนตรง ๆ เท่านั้น แต่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยังทำให้เกิดความแปรปรวนใหญ่ ๆ ได้อีกหลายอย่าง ทั้งฝนที่อาจตกหนักและยาวนานมากขึ้นจนเกิดอุทกภัย พายุที่อาจก่อตัวถี่และแรงขึ้น หรือแม้กระทั่งไฟป่าที่ลุกลามเข้าเผาผลาญเมืองอย่างที่เราพบเห็นได้ในแคลิฟอร์เนียมาแล้ว
ดังนั้น ความร้อนจึงต้อง ‘ถูกตีความ’ ใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับความจริงที่เปลี่ยนไปของโลก ผู้มีอำนาจต้องคลุกคลีกับความร้อนเพื่อให้ตัวเอง ‘รู้ร้อนรู้หนาว’ เช่นเดียวกับที่คนจนถูกบังคับให้ต้องรับรู้ร้อนหนาวอย่างสุดขั้วเป็นกลุ่มแรก และอาจต้องลงมือปรับเปลี่ยนนโยบายที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างเมืองเพื่อให้สอดรับกับความร้อน
ตัวอย่างเช่น ในกรุงเทพฯ ผู้คนที่สัญจรด้วยการเดินเท้า มักถูกมองว่าไม่มีค่ามากเท่ารถยนต์ ทางเท้าในกรุงเทพฯ จึงมีสภาพอเนจอนาถ และต่อให้เป็นทางเท้าที่มีสภาพดี แต่ในตอนกลางวันที่แดดเปรี้ยงก็ไม่มีใครอยากเดิน เพราะมันคือทางเท้าที่ได้รับการออกแบบมาโดย ‘คิดไม่ครบ’
เราอาจต้องหาวิธีเปลี่ยนแปลงทางเท้าของเราเสียใหม่ เช่น สร้างหลังคาคลุม ซึ่งอาจเป็นหลังคาเขียวที่ปกคลุมด้วยต้นไม้ก็ได้ โดยเฉพาะถ้าเราสามารถเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับเมืองได้ เพิ่มต้นไม้ใหญ่ที่ช่วยลดอุณหภูมิใต้ต้นไม้ได้หลายองศาเซลเซียส หรือส่งเสริมการสร้าง ‘อาคารเขียว’ ที่หมายถึงอาคารที่มีการปลูกต้นไม้แนวตั้งจริง ๆ ให้มากขึ้น และในบางส่วนก็อาจต้องใช้วัสดุก่อสร้างที่สะท้อนความร้อนได้ รวมทั้งให้ความสำคัญกับระบบลมในเมือง (Urban Wind Corridor) เพื่อช่วยระบายความร้อนออกจากศูนย์กลางเมือง ไม่ใช่ปล่อยให้เมืองเติบโตไปตามอิทธิพลของ ‘ทุน’ โดยไม่อินังขังขอบกับความเป็นไปโดยรวมของเมือง
นอกจากนี้ รัฐควรต้องส่งเสริมให้ประชาชนรู้วิธีออกแบบบ้านที่เป็นมิตรกับสายลมมากขึ้น ไม่ใช่พอจะสร้างบ้าน ทุกคนก็จะหันหน้าเข้าหาเครื่องปรับอากาศ สร้างบ้านที่เย็นฉ่ำเฉพาะตัว แต่หันคอมเพรสเซอร์เป่าลมร้อนออกมาใส่กัน นี่คือ ‘สัญลักษณ์’ ของความเห็นแก่ตัวและการไม่ใส่ใจเพื่อนบ้านโดยแท้
Editorial credit: Darcy Perkins / Shutterstock.com
ในอดีต เมืองร้อนในไทยหลายแห่งมีสิ่งที่เรียกว่า ‘หง่อคาขี่’ ซึ่งเป็นชายคาอยู่ด้านหน้าของอาคารยาวต่อเนื่องกันไป หง่อคาขี่เหล่านี้ทำให้คนที่สัญจรไปมา เดินผ่านหน้าร้านของตัวเองไปได้โดยมีหลังคาช่วยบังแดดบังฝน
เมืองอย่างไทเป ยังเก็บรักษาหง่อคาขี่เหล่านี้เอาไว้ทั่วเมือง ทำให้ผู้คนสัญจรไปมา – ไม่ว่าจะด้วยการเดินเท้าหรือขี่จักรยานได้อย่างสะดวกสบาย ไม่ว่าฝนจะตกหรือแดดจัดจ้าในฤดูร้อน
อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ยังสะท้อนให้เราเห็นถึง ‘สำนึกสาธารณะ’ ที่ผู้คนมีให้กับคนอื่นด้วย แต่ในไทย แม้หลายอาคารจะมีหง่อคาขี่อยู่ แต่ก็มักถูกปิดกั้น ทำให้คนเดินผ่านไม่ได้ ผลลัพธ์ก็คือได้เมืองที่ให้ความรู้สึกเป็นปรปักษ์ต่อกันในหลายระดับ
ที่สำคัญก็คือ อย่า ‘ดูเบา’ กับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ โดยคิดว่าเมืองไทยเป็นเมืองร้อน ดังนั้นผู้คนจึง ‘ทนร้อน’ กันได้ เพราะเอาเข้าจริง ความร้อน (และชื้น) ที่มากเกินไป ก็อาจกลายเป็นหายนภัยได้เหมือนกัน หลายเมืองในโลก อย่างเช่น อาห์เมดาบัดในอินเดีย หรือเซวิลล์ในสเปน เริ่มมีระบบ ‘เตือนภัย’ คลื่นความร้อน (Heat Wave Early Warning System) กันแล้ว รวมถึงมีผลตอบสนองฉุกเฉินสำหรับประชาชนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงด้วย ดังนั้นสำหรับเมืองร้อนอย่างเรา จึงควร ‘นับรวม’ ความร้อนเข้าไปอยู่ในเรื่องของภัยพิบัติด้วย เพื่อที่รัฐบาลจะได้ให้ข้อมูลล่วงหน้าเกี่ยวกับความร้อน และให้คำแนะนำเรื่องที่พักอาศัย การดื่มน้ำ การหลีกเลี่ยงการออกไปกลางแจ้ง ฯลฯ เช่นเดียวกับการเตือนภัยแผ่นดินไหวหรือน้ำท่วม นั่นคือต้องมีนโยบายระดับชาติที่เอาจริงเอาจังกับเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไม่ใช่แค่กับความร้อนเท่านั้น แต่รวมไปถึงสิ่งที่ ‘คาดไม่ถึง’ ต่าง ๆ ด้วย
อย่างไรก็ตาม ถ้ามองในแง่ของการท่องเที่ยว ต้องบอกว่าถ้าอากาศร้อนแต่ไม่ได้ ‘ร้อนจนเกินไป’ เราก็อาจสร้าง ‘โอกาส’ จากความร้อนนี้ได้เช่นเดียวกัน
ถ้ามองในแง่ของการท่องเที่ยว เราจะพบว่ามีหลายประเทศหลายเมืองที่ไม่ได้พยายาม ‘หนี’ ความร้อน แต่พยายาม ‘ตีความ’ ความร้อนใหม่ ในฐานะฤดูกาลของชีวิตกลางแจ้ง หรือฤดูกาลแห่งการเฉลิมฉลองทางวัฒนธรรม หลายเมืองใช้ฤดูร้อนเป็นเวทีของดนตรี ศิลปะ และความคิดสร้างสรรค์กลางแจ้ง เทศกาลดนตรีอย่าง Coachella ในแคลิฟอร์เนียก็จัดในทะเลทราย แม้ว่าจะเป็นช่วงเดือนเมษายนที่อากาศไม่ได้ร้อนมากก็ตาม
Editorial credit: Pandora Pictures / Shutterstock.com
หรืออย่างเทศกาล Burning Man ที่จัดขึ้นในทะเลทรายของรัฐเนวาดา ก็เป็นงานที่แทบไม่มีร่มเงา ไม่มีเครื่องปรับอากาศ และในบางปีอาจมีอุณหภูมิสูงได้ถึง 45 องศาเซลเซียส แต่กลับมีผู้คนจากทั่วโลก แห่ไปร่วมเฉลิมฉลองศิลปะ ดนตรี ความสร้างสรรค์ และการใช้ชีวิตแบบร่วมมือกันโดยไม่ต้องพึ่งพาเงินหรือความสะดวกสบายใด ๆ
ในปารีส ฤดูร้อนคือโอกาสที่จะเปลี่ยนแม่น้ำแซนให้กลายเป็น ‘ชายหาดเทียม’ ในเมือง ในญี่ปุ่นก็มีเทศกาลฤดูร้อนนับไม่ถ้วน มีแม้กระทั่งดีไซน์พัดลมมือถือที่สวยจนคนอยากพกเป็นเครื่องประดับ
นั่นแปลว่า ฤดูร้อนอาจกลายเป็นฤดูแห่งความสนุก ความรู้สึกเบาสบาย และการเฉลิมฉลองได้เช่นเดียวกัน ในขณะที่ฤดูหนาวอาจเป็นช่วงเวลาแห่งความรู้สึกหนักอึ้ง ทึมเทา ทำให้ผู้คนแสวงหาความอบอุ่นในบ้านมากกว่าจะออกมานอกบ้าน
ถ้าหันกลับมามองประเทศไทย เราจะพบว่าเราเป็นเมืองร้อนที่คุ้นชินกับความร้อนอยู่แล้ว เราจึงมี ‘เทคโนโลยี’ ที่เอาไว้ใช้รับมือกับความร้อนมาตั้งแต่โบราณ เรามีผ้าไทยที่โปร่งเบาและใส่สบาย มีศิลปวัฒนธรรมที่ออกแบบมาเพื่อรับมือกับความร้อนอยู่แล้ว เราจึงมี ‘โอกาส’ ในการสร้างสรรค์ความร้อนให้กลายเป็นแรงบันดาลใจได้ เราอาจลงทุนเชิงโครงสร้างที่ถาวร เช่น ออกแบบทางเดินในเมืองให้มีร่มเงาตลอดสาย ทำให้เมืองเป็นสีเขียวมากขึ้น สร้างพื้นที่สาธารณะ สวนสาธารณะขนาดเล็ก หรือแม้แต่กำแพงอาคารที่เป็นผนังเขียว แบบเดียวกับที่สิงคโปร์ได้ทำให้เราเห็นเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว
แม้สิงคโปร์จะเป็นเมืองร้อนชื้นตลอดทั้งปี แต่สามารถออกแบบเมืองให้เป็นพื้นที่สีเขียวอย่างชาญฉลาด เช่น การสร้างทางเดินเชื่อมระหว่างอาคารที่มีหลังคาและระบบระบายอากาศ การปลูกต้นไม้ใหญ่ตลอดแนวถนน การใช้สวนแนวตั้ง
และการบูรณาการพื้นที่สีเขียวเข้าไปในอาคารสำนักงานและศูนย์การค้า สิงคโปร์ไม่ได้พยายามเอาชนะความร้อน แต่ใช้การออกแบบเพื่อ ‘อยู่’ กับความร้อนให้ได้อย่างสง่างาม
เพราะความร้อนไม่ได้แย่ไปเสียหมด หากเรา ‘ตระหนัก’ ถึงมันในฐานะการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลที่วนเวียนผันเปลี่ยน และหาวิธีอยู่กับมัน เช่น ผูกความร้อนเข้ากับเป้าหมายด้านการท่องเที่ยวเพื่อเน้นความตระหนักรู้ด้านภูมิอากาศ
ความร้อนที่ทวีขึ้นทุกปี อาจกระตุ้นให้เรา ‘รื้อ’ ความคิดเดิม ๆ เกี่ยวกับอากาศ การท่องเที่ยว และการมีชีวิตอยู่ของเราได้
เพราะการ ‘รื้อ’ ที่แท้ไม่ใช่การทิ้ง แต่คือการเปิดตา เปิดใจ เปิดสัมผัส – เพื่อหาความหมายใหม่ให้กับสิ่งเดิม
ฤดูร้อนที่ร้อนที่สุด อาจเป็นฤดูที่เปิดโอกาสให้เราได้มากที่สุดเช่นกัน