
ลูเซิร์น – เมืองท่องเที่ยวบนเส้นทางสู่ความยั่งยืน
รศ. ดร.วลัญชลี วัฒนาเจริญศิลป์
เมืองลูเซิร์น (Luzern หรือ Lucerne) ตั้งอยู่ตอนกลางของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมานานกว่า 250 ปี ด้วยภูมิประเทศที่รายล้อมไปด้วยเทือกเขาแอลป์และทะเลสาบลูเซิร์นอันงดงาม จึงไม่น่าแปลกใจที่ลูเซิร์นกลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ในปี 2018 มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวประมาณ 9 ล้านคน และเพิ่มขึ้นเป็น 17.4 ล้านคนในปี 2019 ก่อนจะหยุดชะงักลงจากเหตุการณ์วิกฤตโควิด-19
ในอดีต ลูเซิร์นเคยเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางสำคัญของ แกรนด์ทัวร์ 1 ซึ่งจัดขึ้นโดยโธมัส คุก 2 (Thomas Cook) ในช่วงศตวรรษที่ 19 หรือราวปี ค.ศ. 1850 โดยหนึ่งในไฮไลต์ของการเดินทางคือการแวะมาที่เมาท์ริกิ (Mount Rigi) ในเมืองลูเซิร์นแห่งนี้
เมาท์ริกิ ตั้งตระหง่านอยู่เคียงทะเลสาบลูเซิร์น ด้วยความสูง 1,797 เมตร นับเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่โดดเด่นของเมือง ผู้มาเยือนที่ขึ้นไปถึงยอดเขาจะได้ชื่นชมทิวทัศน์อันงดงามของทะเลสาบลูเซิร์น เทือกเขาแอลป์และชุมชนรายรอบในมุมมองพาโนรามา 360 องศา
ในคู่มือท่องเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์ฉบับปี 1874 คุกได้เขียนไว้ว่า:
It would never do for us not to ascend the Rigi. It would be like going to Rome and not seeing the Coliseum or going to Naples and not seeing Pompeii.
คงเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะไม่ขึ้นเขาริกิ มันก็เหมือนไปโรมแล้วไม่เห็นโคลอสเซียม หรือไปเนเปิลส์แล้วไม่เห็นปอมเปอี
จาก Cook’s Tourist’s Handbook to Switzerland, 1874
การโพรโมตเมาท์ริกิของโธมัส คุก ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เมืองลูเซิร์นเป็นที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยวอย่างแพร่หลาย และนำไปสู่การเปิดให้บริการเส้นทางรถไฟขึ้นสู่เมาท์ริกิในปี 1871 ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในกิจกรรมท่องเที่ยวหลักที่คุกได้นำเสนอไว้ในโบรชัวร์ท่องเที่ยวของเขาในยุคนั้น จากจุดเริ่มต้นนี้เอง ลูเซิร์นจึงกลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวชาวยุโรปต่อเนื่องมาจนถึงช่วงปลายศตวรรษที่ 20
การเปลี่ยนแปลงของกลุ่มนักท่องเที่ยว
ตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา ลูเซิร์นเริ่มเป็นที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยวชาวเอเชีย โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่น ซึ่งญี่ปุ่นนับเป็นประเทศแรก ๆ ในเอเชียที่ทางองค์กรการท่องเที่ยวของเมืองลูเซิร์นเดินทางไปเปิดตลาด ด้วยเหตุนี้เอง จึงส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นเดินทางมาเยือนสวิตเซอร์แลนด์เป็นจำนวนมากในช่วงแรก และแม้ปัจจุบันจำนวนจะลดลงจากช่วงก่อนโควิด-19 แล้วก็ตาม (ตัวเลขปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 3.7 ล้านคนในปี 2024) แต่ก็ยังคงมีให้พบเห็นอยู่เป็นระยะ
ต่อมา ระหว่างปี 2015–2019 ลูเซิร์นหันมาทำตลาดกับนักท่องเที่ยวชาวจีนเนื่องจากจีนเป็นตลาดที่มีศักยภาพของเอเชีย ทำให้ในปัจจุบันนักท่องเที่ยวชาวจีนกลายเป็นกลุ่มสำคัญของผู้มาเยี่ยมเยือน โดยมีทั้งนักท่องเที่ยวแบบกลุ่มใหญ่ที่เดินทางด้วยรถโค้ช และกลุ่มย่อยประมาณ 5–6 คน ไปจนถึงนักท่องเที่ยวแบบอิสระ (FIT – Free Independent Travellers) ความนิยมของนักท่องเที่ยวชาวจีน โดยเฉพาะช่วงก่อนเกิดวิกฤติการณ์โควิด-19 ส่งผลให้มีรถโค้ชจำนวนมากแวะเวียนเข้ามายังจุดจอดสำคัญ โดยเฉพาะในบริเวณที่ชื่อว่าชวาเนนปลัส (Schwanenplatz) ซึ่งเป็นพื้นที่ชอปปิงของสินค้าหรู เช่น นาฬิกาแบรนด์เนม และเครื่องประดับราคาแพง
อย่างไรก็ตาม การหลั่งไหลเข้ามาอย่างหนาแน่นของรถโค้ช และพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ที่แตกต่างจากนักท่องเที่ยวจากประเทศที่คนท้องถิ่นคุ้นชินกันอยู่แล้ว ก็เริ่มส่งผลกระทบทางลบต่อเมือง ก่อให้เกิดความรู้สึกหลากหลายในหมู่ชาวเมือง และมีจำนวนไม่น้อยที่เริ่มอึดอัดกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ลูเซิร์นเริ่มแออัดหลังจากความนิยมของนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มาพร้อมรถโค้ช และเมื่อเปรียบเทียบจำนวนประชากรประมาณ 81,000 คนในเมืองลูเซิร์นกับนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาเกือบ 10 ล้านคนในปี 2018 แล้ว จะพบว่าสัดส่วนความหนาแน่นของนักท่องเที่ยวต่อประชากรอยู่ที่ราว 116 ต่อ 1 ซึ่งสูงกว่าเมืองใหญ่อย่างมิลาน ที่มีนักท่องเที่ยวเฉลี่ยปีละ 25 ล้านคน และประชากรประมาณ 260,000 คน หรือคิดเป็นสัดส่วน 96 ต่อ 1
ความแออัดนี้ส่งผลให้ทัศนคติของคนในท้องถิ่นที่มีต่อการท่องเที่ยวของเมืองเริ่มเปลี่ยนแปลงไป
ช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับลูเซิร์น โดยในช่วงปี 2020–2021 แทบไม่มีนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่หรือรถโค้ชเข้ามาเลย กระทั่งสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย นักท่องเที่ยวแบบอิสระ หรือ FIT เริ่มกลับมาเยี่ยมเยือนอีกครั้ง และคนกลุ่มนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ส่งผลให้โรงแรมต่าง ๆ เริ่มปรับตัวรับนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้มากขึ้น เช่น โรงแรมระดับ 4 ดาวเริ่มปรับตัวเพื่อรองรับความต้องการของนักเดินทางกลุ่มย่อย ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงระบบบริการให้สะดวก รวดเร็ว ผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล หรือการจัดแพ็กเกจกิจกรรมการท่องเที่ยวที่เหมาะกับนักเดินทางอิสระ
ในปัจจุบัน จำนวนคืนที่พักของนักท่องเที่ยวเริ่มกลับมาใกล้เคียงช่วงก่อนโควิดแล้ว แต่โครงสร้างของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาลูเซิร์นในช่วงหลังโควิดกลับเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน โดยนักท่องเที่ยวกลุ่ม FIT มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น ในขณะที่กลุ่มทัวร์มีสัดส่วนลดลง การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนของเมือง ที่ให้ความสำคัญกับนักท่องเที่ยวที่พำนักนานขึ้นและมีคุณภาพการใช้จ่ายที่สมดุล
อย่างไรก็ตาม เมื่อการท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัว เริ่มมีสัญญาณการกลับมาของรถโค้ชนำเที่ยวขนาดใหญ่ ที่เริ่มมีให้เห็นเป็นจำนวนมากขึ้น คำถามสำคัญก็เกิดขึ้นว่า เมืองลูเซิร์นจะสามารถควบคุมทิศทางและรักษาสมดุลของการเติบโตด้านการท่องเที่ยวในระยะยาวได้อย่างไร โดยเฉพาะเมื่อธุรกิจโรงแรมและที่พักยังคงได้รับประโยชน์จากการจองล่วงหน้าของกรุ๊ปทัวร์ ซึ่งให้ความมั่นใจด้านรายได้มากกว่าการรอรับนักท่องเที่ยวแบบอิสระ ที่มักตัดสินใจจองในช่วงใกล้วันเดินทางและมีพฤติกรรมการใช้บริการที่ไม่แน่นอน
ภาพจาก metha1819 / Shutterstock.com
เมื่อ “การแสวงหาจุดร่วม” คือคำถามหลัก
ประเด็นเรื่อง “จำนวนที่เหมาะสม” ของนักท่องเที่ยวในเมืองลูเซิร์น ยังคงเป็นคำถามที่ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะขาดการเก็บข้อมูลที่ครอบคลุม โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวแบบขาจร-ไปเช้าเย็นกลับ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญอาจไม่ใช่เพียงแค่ “จำนวน” นักท่องเที่ยวที่เมืองสามารถรองรับได้ แต่เป็นเรื่องระดับ “ความหนาแน่น” ของนักท่องเที่ยวในแต่ละพื้นที่ แต่ละช่วงเวลา และพฤติกรรมของนักท่องเที่ยว สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่เป็นตัวกำหนดว่า เมืองจะยังสามารถรักษาสมดุลไว้ได้หรือไม่
แต่การหาจุดสมดุลที่ตอบโจทย์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
ธุรกิจท่องเที่ยว เช่น ผู้ให้บริการเรือนำเที่ยว ร้านขายนาฬิกา และเครื่องประดับ ต่างให้ความสำคัญกับนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ที่เดินทางด้วยรถโค้ช เพราะเป็นกลุ่มที่สร้างรายได้หลัก นักท่องเที่ยวประเภทนี้มักมาเยือนเมืองครั้งแรก มีเวลาจำกัด และนิยมกิจกรรมแบบ “must-do” เช่น ล่องเรือ ชอปปิงสินค้าราคาแพง เช่นนาฬิกา และซื้อของฝากในปริมาณมาก ซึ่งแตกต่างจากนักท่องเที่ยวที่กลับมาเยี่ยมเยือน หรือนักเดินทางแบบอิสระที่ใช้ชีวิตเหมือนคนท้องถิ่น พำนักในเมืองนานกว่า แต่มีพฤติกรรมการใช้จ่ายที่แตกต่างและไม่หวือหวาเท่า
ในขณะเดียวกัน ชาวเมืองจำนวนไม่น้อยก็รู้สึกอึดอัดกับผลกระทบจากนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นความแออัดของรถโค้ชที่จอดเรียงรายกันแน่นขนัดใจกลางเมือง การจราจรที่ติดขัด พฤติกรรมนักท่องเที่ยวบางกลุ่มที่รวมตัวกันแล้วส่งเสียงดัง ขาดความเกรงใจ หรือแม้แต่ราคาสินค้าและบริการที่สูงขึ้น ซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของชาวเมือง ทั้ง ๆ ที่พวกเขาไม่ได้รับประโยชน์โดยตรงจากรายได้ที่นักท่องเที่ยวเหล่านี้นำเข้ามามากนัก
แม้ว่าลูเซิร์นจะเป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวสำคัญของสวิตเซอร์แลนด์ แต่รายได้จากภาคการท่องเที่ยวยังคิดเป็นเพียงร้อยละ 8 ของรายได้ทั้งหมดของเมือง ซึ่งแม้จะไม่ใช่สัดส่วนที่สูงมากนัก แต่ก็ถือว่าไม่น้อย หากเทียบกับเมืองใหญ่อย่างซูริค ที่มีสัดส่วนรายได้จากการท่องเที่ยวอยู่เพียงร้อยละ 2
อย่างไรก็ตาม เมื่อลองเปรียบเทียบกับเมืองท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและสกีรีสอร์ต เช่น เอนเกลเบิร์ก (Engelberg) ซึ่งเป็นประตูสู่ยอดเขาเมาท์ทิทลิส (Mount Titlis) อันเลื่องชื่อ หรือเมืองเซอร์แมต (Zermatt) ทางตอนใต้ที่เป็นที่ตั้งของภูเขาแมทเทอร์ฮอร์น (Matterhorn) ซึ่งเป็นภาพจำคุ้นตาบนบรรจุภัณฑ์ช็อกโกแลตทอปเบอโรน (Toblerone) เมืองเหล่านี้มีอัตราการพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวอยู่ในระดับสองหลัก (หน่วยเปอร์เซนต์) และสูงกว่าลูเซิร์นอย่างชัดเจน
นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำไม การหาจุดสมดุลการท่องเที่ยวจึงเป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับเมือง และคือโจทย์สำคัญที่ลูเซิร์นกำลังเผชิญอยู่ รายได้จากการท่องเที่ยวที่มีสัดส่วนกระจุกอยู่ที่ธุรกิจบางประเภท รวมถึงความพยายามสร้างสมดุลของกลุ่มนักท่องเที่ยว ที่แม้อาจกระทบกับรายได้ของบางธุรกิจ แต่กลับส่งผลดีกับเมืองและคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยในระยะยาว สิ่งเหล่านี้ล้วนต้องมีการจัดการอย่างรอบคอบ เพื่อสร้าง “จุดร่วม” หรือสมดุลทางการท่องเที่ยว ที่ทุกฝ่าย – ทั้งภาคธุรกิจ ผู้อยู่อาศัย และผู้กำหนดนโยบาย – สามารถยอมรับได้
ในความเป็นจริง ชาวเมืองลูเซิร์นไม่ได้มีทัศนคติในแง่ลบต่อการท่องเที่ยวแต่อย่างใด ตรงกันข้าม จากผลสำรวจความคิดเห็นของประชากรในปี 2020 และ 2024 ที่จัดทำโดยเทศบาลนครลูเซิร์น (Luzern Stadt) พบว่า ชาวเมืองส่วนใหญ่ยังมองว่าการท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่หล่อหลอมอัตลักษณ์ของเมือง และมีความภาคภูมิใจในบทบาทของลูเซิร์นในฐานะเมืองพหุวัฒนธรรม (multicultural city) ที่เปิดกว้างและต้อนรับผู้คนจากทั่วโลก
สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจนัก เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ว่า ลูเซิร์นเป็นเมืองที่เติบโตมาพร้อมกับประวัติศาสตร์ด้านการท่องเที่ยวมาอย่างยาวนานกว่า 250 ปี ประสบการณ์ที่สั่งสมมาในช่วงเวลาดังกล่าว ทำให้ชาวเมืองตระหนักถึงทั้งคุณค่าและความท้าทายที่การท่องเที่ยวนำพามา
คำถามสำคัญในวันนี้ จึงไม่ใช่เพียงว่าจะ “ยอมรับ” หรือ “จำกัด” จำนวนนักท่องเที่ยวแต่เพียงอย่างเดียว แต่เป็นการมองไปข้างหน้าว่า เมืองจะสามารถออกแบบอนาคตของการท่องเที่ยวให้เติบโตไปพร้อมกับคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืนของคนในท้องถิ่นได้อย่างไร ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ธุรกิจท่องเที่ยว หรือประชาชนในเมือง
ใครคือผู้กำหนดทิศทางการท่องเที่ยว
ไม่น่าแปลกใจนักหากจะกล่าวว่า หน่วยงานหลักที่มีบทบาทในการทำการตลาดการท่องเที่ยวของเมืองลูเซิร์นคือองค์กรการท่องเที่ยว (Tourism Organization -TO) ซึ่งเป็นองค์กรเอกชนที่ประกอบด้วยผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวรายสำคัญ โดยมีเป้าหมายในการทำการตลาดในกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อและศักยภาพสูง
ในขณะเดียวกันเทศบาลนครลูเซิร์น (Luzern Stadt) ทำหน้าที่ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแล การวางแผนเชิงนโยบาย การออกกฎระเบียบ และการพัฒนาเมืองไปในทิศทางอย่างยั่งยืน
การขับเคลื่อนการท่องเที่ยวของเมืองลูเซิร์นไม่สามารถพึ่งพาการทำการตลาดนักท่องเที่ยวเพื่อประโยชน์เชิงพาณิชย์แต่เพียงอย่างเดียว แต่จำเป็นต้องอาศัยกลไกเชิงนโยบายควบคู่กับการมีส่วนร่วมของคนในเมืองอย่างต่อเนื่องและจริงจัง
อย่างไรก็ตาม เมื่อความต้องการหลักของแต่ละฝ่ายอาจไม่ได้สอดคล้องกันอย่างลงตัว ภาคธุรกิจมุ่งเน้นการมีนักท่องเที่ยวเพื่อสร้างรายได้ ในขณะที่ทางภาครัฐต้องคำนึงถึงภาพรวมของเมือง และสร้างมาตรการที่ยอมรับได้เพื่อการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน ให้ความสำคัญต่อผู้อยู่อาศัย และใช้ทรัพยากรการท่องเที่ยวอย่างคุ้มค่า
ดังนั้น การแสวงหาจุดร่วมจึงกลายเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนา เมื่อลูเซิร์นต้องการเป็นเมืองท่องเที่ยวที่อยู่ร่วมกันได้อย่างสมดุลในทุกมิติ แนวทางแบบมีส่วนร่วม (participatory approach) จากทุกภาคส่วนจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการกำหนดอนาคตของเมือง
เพื่อขับเคลื่อนแนวทางดังกล่าว เมืองลูเซิร์นจึงได้พัฒนากรอบแนวคิดเชิงนโยบายผ่าน “วิสัยทัศน์การท่องเที่ยวลูเซิร์น 2030” (Vision Tourism Luzern 2030) ซึ่งได้เริ่มต้นร่างขึ้นในช่วงปลายปี 2017 และได้รับการรับรองโดยสภาเมืองลูเซิร์น (Grand City Council) เมื่อช่วงต้นปี 2022
วิสัยทัศน์ฉบับนี้ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการประสานผลประโยชน์ระหว่างกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่าง ๆ และกำหนดทิศทางการเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในระยะยาว เนื้อหาของวิสัยทัศน์ เกิดขึ้นจากการพูดคุยกันของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจท่องเที่ยว ชาวเมือง และได้กำหนดพันธกิจ ค่านิยมหลัก จุดขายที่โดดเด่น สำหรับการท่องเที่ยวของเมืองลูเซิร์น เพื่อทำให้การพัฒนาการท่องเที่ยวของเมืองเป็นไปอย่างยั่งยืน ทั้งยังมีการรวมนวัตกรรม เทคโนโลยี และการมีส่วนร่วมของชาวเมืองไว้ด้วย
ผลจากการหารือแบบมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย เมืองลูเซิร์นได้กำหนดวิสัยทัศน์ท่องเที่ยว 2030 ซึ่งเน้นการท่องเที่ยวระยะยาว นักท่องเที่ยวอิสระ และการอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืนกับชาวเมือง โดยวิสัยทัศน์นี้กำลังอยู่ในช่วงการพัฒนาแผนยุทธศาสตร์ และตัวชี้วัดต่าง ๆ เพื่อให้สามารถติดตามผลและพัฒนาต่อเนื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วิสัยทัศน์การท่องเที่ยวลูเซิร์น 2030 ได้มีกระบวนการวางแผนมาตรการไว้ 7 ชุด ซึ่งจะช่วยผลักดันให้วิสัยทัศน์ดังกล่าวเป็นจริง โดยรายละเอียดเบื้องต้นประกอบด้วยมาตรการต่าง ๆ ดังนี้
สิ่งที่เริ่มเกิดขึ้นจริงในทางปฏิบัติแล้ว คือการออกมาตรการเชิงนโยบายที่สะท้อนถึงความตั้งใจของเมืองในการเดินหน้าสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม โดยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นไป เมืองลูเซิร์นได้ประกาศใช้กฎหมายใหม่เพื่อควบคุมการให้เช่าที่พักระยะสั้นผ่านแพลตฟอร์มอย่าง Airbnb โดยกำหนดให้เจ้าของที่อยู่อาศัยสามารถปล่อยเช่าได้ไม่เกิน 90 วันต่อปี มาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงลักษณะการใช้พื้นที่พักอาศัย ซึ่งอาจทำให้จำนวนที่อยู่อาศัยสำหรับคนในท้องถิ่นลดลง รวมถึงช่วยป้องกันไม่ให้เมืองถูกแปรสภาพเป็น “โรงแรมถาวร” สำหรับนักท่องเที่ยวระยะสั้น อันเป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นในหลายเมืองท่องเที่ยวทั่วโลก
นอกจากนี้ เพื่อลดผลกระทบจากจำนวนรถโค้ชขนาดใหญ่และนักท่องเที่ยวแบบกลุ่มที่เข้ามาในพื้นที่สำคัญของเมืองอย่างหนาแน่น เทศบาลนครลูเซิร์น (Luzern Stadt) ได้ประกาศดำเนินมาตรการจัดการจุดจอดรถบัสท่องเที่ยว และเก็บค่าธรรมเนียมรถโค้ชอย่างเป็นระบบ โดยจะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2568
มาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อควบคุมความหนาแน่นของนักท่องเที่ยวในพื้นที่สำคัญของเมือง เช่น ย่านเมืองเก่า (Altstadt), ท่าเรือริมทะเลสาบ และแหล่งชอปปิงยอดนิยมชวาเนนปลัส (Schwanenplatz) รวมถึงเป็นแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการพิจารณาการกระจายตัวของนักท่องเที่ยวออกไปยังพื้นที่รองหรือช่วงเวลาที่ไม่แออัดมากนัก
นอกจากที่กล่าวมาข้างต้น เทศบาลนครลูเซิร์นยังคงมีมาตรการอื่น ๆ ที่จะช่วยขับเคลื่อนความยั่งยืนของเมืองในระยะยาวออกมาอีก
การวางเป้าหมายร่วมกันและการวางแนวทางแบบมีส่วนร่วมถือเป็นหัวใจสำคัญที่ก่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระยะยาวสำหรับลูเซิร์น แต่ที่สำคัญคือการขับเคลื่อน “วิสัยทัศน์ และ กลยุทธ์” โดย “ตัวชี้วัด และ การลงมือปฏิบัติ” ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญไม่แพ้กันของการบริหารจัดการเมืองสู่ความยั่งยืน ซึ่งลูเซิร์นได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่น ไม่เพียงในระดับนโยบาย หากแต่สู่การดำเนินการจริงอย่างเป็นรูปธรรม
ลูเซิร์นจึงนับเป็นหนึ่งในกรณีศึกษาที่น่าจับตามองอย่างยิ่งของยุโรป ในฐานะเมืองท่องเที่ยวที่พยายามสร้างสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ ประชาชน และการดูแลสิ่งแวดล้อมในระยะยาว
ผู้เขียน รศ. ดร.วลัญชลี วัฒนาเจริญศิลป์ กลุ่มสาขาวิชาบริหารธุรกิจ วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล
ผู้เขียนขอขอบคุณศาสตราจารย์ Juerg Stettler, Head of the Institute of Tourism and Mobility (ITM), Lucerne School of Business, Lucerne University of Applied Sciences and Arts, Switzerland สำหรับการแบ่งปันข้อมูลการท่องเที่ยวเมืองลูเซิร์น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
1 แกรนด์ทัวร์ (Grand Tour) เป็นรูปแบบการเดินทางท่องเที่ยวยุโรปที่ได้รับความนิยมในหมู่ชนชั้นสูงของยุโรป โดยเฉพาะในประเทศอังกฤษ เกิดขึ้นระหว่างศตวรรษที่ 17 ถึง 19 โดยมักเป็นการเดินทางเพื่อการศึกษา ศิลปะ วัฒนธรรม และประสบการณ์ชีวิต
2 โธมัส คุก (Thomas Cook) เป็นนักธุรกิจชาวอังกฤษผู้บุกเบิกการท่องเที่ยวแบบกลุ่มทัวร์ในศตวรรษที่ 19 โดยได้จัดทัวร์หมู่คณะเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1841 ถือเป็นผู้วางรากฐานของธุรกิจการท่องเที่ยวสมัยใหม่และก่อตั้งบริษัทท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับโลกในเวลาต่อมา
อ้างอิง
Bewes, D. (2016). Slow train to Switzerland. Nicholas Brealey Publishing.
Stadt Luzern (2025). Vision Tourism Lucerne 2030. https://www.stadtluzern.ch/projekte/zentraleprojekte/17606
Luzern Tourism (2025). Information about tourism in Luzern. https://www.luzern.com/de/ueber-uns/inside-tourismus