
สถานการณ์ท่องเที่ยวตลาดต่างประเทศ (เดือนมกราคม-มีนาคม 2568) และคาดการณ์สถานการณ์ (เดือนเมษายน-มิถุนายน 2568)
จัดทำโดย งานวิเคราะห์ตลาดต่างประเทศ กองกลยุทธ์การตลาด ททท. วันที่ 8 เมษายน 2568
ภาพรวมสถานการณ์ท่องเที่ยวตลาดต่างประเทศ เดือนมกราคม-มีนาคม 2568
สถานการณ์การเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยระหว่างเดือนมกราคม-มีนาคม 2568 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวน 9.55 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 และสร้างรายได้ทางการท่องเที่ยวประมาณ 4.72 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2567 โดยจำนวนและรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ สามารถฟื้นตัวกลับมาประมาณร้อยละ 88 และร้อยละ 91 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับจำนวนและรายได้ที่ไทยเคยได้รับในช่วงเดียวกันของปี 2562
สรุปสถานการณ์แต่ละภูมิภาคดังนี้
ภาพรวมภูมิภาคอาเซียน จำนวนนักท่องเที่ยวลดลงร้อยละ 0.3 ในขณะที่รายได้ทางการท่องเที่ยวมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 11 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2567 โดยสามารถแบ่งกลุ่มตลาดได้ดังนี้
- ตลาดที่มีการเติบโตดี ได้แก่ ฟิลิปปินส์ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 27) เมียนมา (เพิ่มขึ้นร้อยละ 19) สิงคโปร์ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 4) อินโดนีเซีย (เพิ่มขึ้นร้อยละ 4) สอดคล้องกับการขยายเส้นทางบินใหม่ของสายการบิน Myanmar Airways ในเส้นทางบินมัณฑะเลย์-เชียงใหม่ 1 เที่ยวบิน/สัปดาห์ เพิ่มความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวกลุ่มคุณภาพจากตลาดเมียนมาเดินทางเข้าไทยมากขึ้น รวมทั้งจำนวนที่นั่งโดยสารเครื่องบินจากฟิลิปปินส์เพิ่มขึ้นร้อยละ 24 หรือมีที่นั่งโดยสารเครื่องบินในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม 2568 จำนวน 251,073 ที่นั่ง และมีที่นั่งโดยสารเครื่องบินสูงกว่าปี 2562 ร้อยละ 30
- ตลาดที่มีการหดตัวลง ได้แก่ เวียดนาม (ลดลงร้อยละ 6) กัมพูชา (ลดลงร้อยละ 7) และลาว (ลดลงร้อยละ 14) จากการแข่งขันของตลาดคู่แข่ง โดยเฉพาะญี่ปุ่น เพื่อชิงส่วนแบ่งตลาดนักท่องเที่ยวอาเซียน โดยเฉพาะเวียดนาม เนื่องจากข้อได้เปรียบทางสภาพอากาศที่หนาวเย็น ความนิยมแหล่งท่องเที่ยวสกีรีสอร์ต และค่าเงินเยนอ่อนค่า อย่างไรก็ตาม ททท. เร่งนำเสนอขายสินค้าใหม่ในเมืองท่องเที่ยวหลักและขยายพื้นที่ท่องเที่ยวไปสู่เมืองน่าเที่ยวในพื้นที่ภาคใต้ และร่วมมือกับสายการบินพันธมิตร Thai Airways และ Bangkok Airways นำเสนอเส้นทางการบิน 2 in 1 เข้าพื้นที่เกาะสมุย-พัทยา และเกาะสมุย-เชียงใหม่ เพื่อประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวใหม่และเพิ่มความน่าสนใจของประเทศไทย มุ่งดึงนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
- ตลาดนักท่องเที่ยวมุสลิมชะลอการเดินทางในช่วงฤดูถือศีลอด (รอมฎอน) โดยเฉพาะมาเลเซีย (ลดลงร้อยละ 1) และบรูไน (ลดลงร้อยละ 7) เริ่มตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ – 29 มีนาคม 2568 ส่งผลให้ภาพรวมนักท่องเที่ยวภูมิภาคอาเซียน ในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม 2568 ลดลงร้อยละ 0.3 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2567 (รอมฎอนปี 2567 ตรงกับช่วงวันที่ 11 มีนาคม – 9 เมษายน 2567)
ภาพรวมภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ ด้านจำนวนและรายได้มีอัตราการเติบโตลดลง เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 นับตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม 2568 จากปัจจัยต่อไปนี้
- ความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยในการท่องเที่ยวไทยของกลุ่มที่มีความอ่อนไหวสูงตลาดจีนและฮ่องกง ประเด็นนักแสดงจีนหายตัว ‘หวัง ซิง ซิง’ และการปราบปรามแก๊งมิจฉาชีพต่างชาติในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2568 ส่งผลกระทบเชิงจิตวิทยาเรื่องความไม่ปลอดภัยของไทย และกระทบกับกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีความอ่อนไหวสูงจากการรับข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อโซเชียลมีเดียในตลาดจีน อาทิ กลุ่มกรุ๊ปทัวร์/กลุ่มครอบครัวสูงวัย/กลุ่มที่ไม่เคยมาประเทศไทย โดยเฉพาะเมือง Tier 2 – Tier 3 (ตามรายงานสำนักงานสาขา ททท. ในระบบ TATIC) ทำให้มีการปรับลดความถี่เที่ยวบินประจำและเที่ยวบินเช่าเหมาลำจากจีนเข้าประเทศไทยในเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม 2568 ลดลงเฉลี่ยร้อยละ 23 สอดคล้องกับจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทย ลดลงร้อยละ 24 และฮ่องกง ลดลงร้อยละ 23 ตามลำดับ ในขณะที่ตลาดไต้หวัน ในเดือนมีนาคมมีจำนวนลดลงร้อยละ 12 หลังการประกาศเตือนการเดินทางมายังประเทศไทย ว่าเป็นจุดหมายปลายทางที่มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากเป็นแหล่งของแก๊งมิจฉาชีพตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568
ทั้งนี้ ททท. มุ่งเน้นเร่งฟื้นคืนความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวชาวจีน โดย
- สร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับพันธมิตรที่มีความแข็งแกร่งในตลาดจีน ร่วมมือกับบริษัท Beijing Baidu Netcom Science Technology จำกัด เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลและเทคโนโลยี AI ของ Baidu และเพื่อสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยวชาวจีนศักยภาพสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความเข้าใจและฟื้นคืนความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวชาวจีนด้วยข้อมูลและข้อเท็จจริง
- จัดทำ Joint Promotion ร่วมกับ Trip.com มอบส่วนลดในการซื้อบัตรโดยสารเครื่องบินเส้นทางจีน-ไทย เพื่อสร้างแรงจูงใจในการเลือกประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทาง
- จัดแคมเปญร่วมกับ Alipay มอบสิทธิพิเศษผ่านการใช้จ่าย Mobile Payment และคูปองส่วนลดร้านค้า ร้านอาหาร เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวชาวจีนในช่วงเทศกาลตรุษจีน เริ่มตั้งแต่เดือนมกราคม-เมษายน 2568
- ความกังวลด้านความปลอดภัยจากอุบัติเหตุทางเครื่องบินของตลาดเกาหลีใต้ อุบัติเหตุเครื่องบินของสายการบิน Jeju Air เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2567 ส่งผลกระทบต่อ Sentiment การเดินทางท่องเที่ยวไทย ในช่วงต้นปี 2568 เนื่องจากมีการยกเลิกการจองและระงับเที่ยวบินเข้าไทยของสายการบิน Jeju Air ในเส้นทาง Muan-Bangkok จำนวน 3 เที่ยวบิน/สัปดาห์ ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวเกาหลีใต้ปรับตัวลดลงร้อยละ 11 เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 และการหันเหการเดินทางไปท่องเที่ยวประเทศคู่แข่ง เช่น ญี่ปุ่น จีน เวียดนาม จากนโยบายผ่อนคลายด้านวีซ่า ความน่าดึงดูดจากสภาพอากาศของแหล่งท่องเที่ยว และค่าเงินเยนอ่อนค่า ทั้งนี้ ททท. สำนักงานโซล ได้ประชาสัมพันธ์ประสบการณ์ที่น่าประทับใจผ่าน Influencer และสร้างการรับรู้เกี่ยวกับกิจกรรม Trekking ในจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเจาะกลุ่มตลาดความสนใจพิเศษกลุ่มใหม่ ๆ ในตลาดเกาหลี ให้เกิดการรับรู้และสนใจเดินทางมาประเทศไทยเพิ่มมากขึ้นในอนาคต
- มาตรการยกเว้นวีซ่า (Visa Exemption) ดึงดูดตลาดไต้หวันเดินทางเข้าไทยอย่างต่อเนื่อง โดยระหว่างเดือนมกราคม-มีนาคม 2568 มีจำนวนนักท่องเที่ยวไต้หวันเดินทางเข้าไทย 2.9 แสนคน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 11) โดยมีจำนวนที่นั่งโดยสารเครื่องบินจากไต้หวัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 12 หรือมีที่นั่งโดยสารเครื่องบินในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม 2568 จำนวน 574,661 ที่นั่ง และมีที่นั่งโดยสารเครื่องบินสูงกว่าปี 2562 ร้อยละ 21 นอกจากนี้ ททท. จัดแคมเปญร่วมกับบริษัท Star Travel ผู้ประกอบการนําเที่ยวรายใหญ่ในไต้หวัน เพื่อกระตุ้นการขายและเพิ่มที่นั่งเที่ยวบิน ผ่านการจัดทํา Charter Flight เส้นทางไทเป-ภูเก็ต พร้อมโปรโมชันราคาพิเศษสําหรับผู้ที่ซื้อแพ็กเกจเส้นทางดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 13 มกราคม – 31 มีนาคม 2568
- การมุ่งเน้นการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวในกลุ่ม Gen Z โดยเฉพาะตลาดญี่ปุ่น จากการร่วมมือของ ททท. กับพันธมิตรขับเคลื่อนกลุ่ม Educational Trip นักเรียน-นักศึกษา และการเปิดเที่ยวบินเส้นทางใหม่ โอกินาวา-กรุงเทพฯ ของสายการบิน Lion Air จำนวน 4 เที่ยวบิน/สัปดาห์ ตั้งแต่ 21 มกราคม 2568 ผลักดันจำนวนนักท่องเที่ยวจากตลาดญี่ปุ่นเข้าไทย เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 17
ภาพรวมภูมิภาคยุโรป เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวตลาดระยะไกลที่มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นสูงในเดือนมกราคม-มีนาคม 2568 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีที่ผ่านมา โดยแบ่งกลุ่มตลาดได้ดังนี้
- ตลาดที่มีการเติบโตดีสูงกว่าภาพรวมภูมิภาค โดยเฉพาะตลาดอิสราเอล (เพิ่มขึ้นร้อยละ 112) อิตาลี (เพิ่มขึ้นร้อยละ 25) ฝรั่งเศส (เพิ่มขึ้นร้อยละ 23) ยุโรปตะวันออก (เพิ่มขึ้นร้อยละ 22) และนอร์เวย์ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 19)
- ตลาดที่เติบโตเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ได้แก่ รัสเซีย (เพิ่มขึ้นร้อยละ 16) เนเธอร์แลนด์ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 16) สหราชอาณาจักร (เพิ่มขึ้นร้อยละ 15) เบลเยียม (เพิ่มขึ้นร้อยละ 12) ออสเตรีย (เพิ่มขึ้นร้อยละ 11) สเปน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 11) และเยอรมนี (เพิ่มขึ้นร้อยละ 8)
- ตลาดที่เติบโตเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 แต่จำนวนนักท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นตัวกลับมาเท่าช่วงก่อนเกิดวิกฤตโรคระบาดปี 2562 ได้แก่ นอร์เวย์ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 19) สวีเดน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 9) เดนมาร์ก (เพิ่มขึ้นร้อยละ 7) ฟินแลนด์ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 7) และสวิตเซอร์แลนด์ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 3)
ปัจจัยสนับสนุนการเดินทาง มีดังนี้
- การเดินทางท่องเที่ยวหลังจบการศึกษาหรือก่อนเข้ารับการเกณฑ์ทหาร (Gap year) ผลักดันให้นักท่องเที่ยวอิสราเอล โดยเฉพาะกลุ่มนักเรียน/นักศึกษาหรือกลุ่มวัยเริ่มทำงาน เลือกเดินทางท่องเที่ยวไปยังแหล่งท่องเที่ยวที่มีความปลอดภัย และประเทศไทยจัดเป็นประเทศที่เป็นมิตรเหมือนบ้านหลังที่สองของชาวอิสราเอล (ข้อมูลจาก ททท. สำนักงานกรุงโรม)
- ความต้องการหลีกหนีสภาพอากาศหนาวเย็นและฝนชุกมากกว่าปกติในช่วงฤดูหนาวจากปรากฏการณ์ลานีญา ส่งผลให้นักท่องเที่ยวภูมิภาคยุโรปมีความต้องการเดินทางไปพักผ่อนในแหล่งท่องเที่ยวที่มีอากาศอบอุ่น ชายหาดและทะเล จากข้อมูลการจองบัตรโดยสารเครื่องบินล่วงหน้ามายังประเทศไทยในระบบ ForwardKeys ในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม 2568 พบว่า
- ตลาดอิสราเอล อิตาลี และฝรั่งเศส มีสัดส่วนยอดจองฯ เพิ่มขึ้นดีที่สุดเทียบกับปีก่อนหน้า
- จุดหมายท่องเที่ยวยอดนิยมในไทยที่นักท่องเที่ยวจองการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยว คือ กรุงเทพฯ ภูเก็ต เกาะสมุย กระบี่ และเชียงใหม่
- จำนวนที่นั่งบนเครื่องบินในภูมิภาคยุโรปเข้าไทย เพิ่มขึ้นร้อยละ 25 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปี 2567 หรือมีจำนวนที่นั่งรวม 1.7 ล้านที่นั่ง โดยหลายประเทศในยุโรปเพิ่มเที่ยวบินตรงเข้าไทย
- เปิดเที่ยวบินใหม่ อาทิ
- สายการบิน Alitalia เส้นทางอิตาลี-กรุงเทพฯ
- สายการบิน Condor เส้นทางแฟรงก์เฟิร์ต-กรุงเทพฯ และ ภูเก็ต
- สายการบิน Evelop Airlines S.L. เส้นทางมาดริด-กรุงเทพฯ
- สายการบิน Air Celedonie International เส้นทางปารีส-กรุงเทพฯ
- เพิ่มความถี่เที่ยวบิน อาทิ
- สายการบิน Iberojet เส้นทางมาดริด-กรุงเทพฯ จาก 1 เที่ยวบิน/สัปดาห์ เป็น 2 เที่ยวบิน/สัปดาห์
- สายการบิน Norse Atlantic Airways เส้นทางลอนดอน (แกตวิก)-กรุงเทพฯ ปรับเพิ่มเป็น 4 เที่ยวบิน/สัปดาห์ เริ่มวันที่ 3 ธันวาคม 2567 – 27 มีนาคม 2568 จากเดิม 3 เที่ยวบิน/สัปดาห์ในเดือนพฤศจิกายน 2567
- เปิดเที่ยวบินใหม่ อาทิ
ภาพรวมภูมิภาคอเมริกา เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวตลาดระยะไกลที่มีสัดส่วนมากที่สุดเป็นอันดับสองรองจากภูมิภาคยุโรป ทั้งด้านจำนวนและรายได้มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นเทียบกับช่วงเดียวกันปี 2567
ซึ่งทุกตลาดในภูมิภาคอเมริกามีจำนวนนักท่องเที่ยวฟื้นตัวกลับมาสูงกว่าช่วงก่อนเกิดวิกฤตโรคระบาดปี 2562 แล้ว โดยเฉพาะตลาดสหรัฐอเมริกา และอาร์เจนตินา
ปัจจัยสนับสนุนการเดินทาง มีดังนี้
- แนวโน้มพฤติกรรมนักท่องเที่ยวชาวอเมริกันเปลี่ยนไปนิยมการท่องเที่ยวแบบ Silent Travel
การท่องเที่ยวธรรมชาติเพื่อพักผ่อนในบรรยากาศที่เงียบสงบช่วยให้ผ่อนคลาย ดังนั้น ประเทศไทยจึงเป็นอีกจุดมุ่งหมายของเทรนด์นักท่องเที่ยวนี้ โดยเฉพาะด้าน wellness spa off the beaten path และการท่องเที่ยวธรรมชาติ (จากข้อมูล Travel Trends Report 2025: Silent Travel) ซึ่ง ททท. ได้จัดกิจกรรม Mega Influencers FAM Trip: WYA-Where You At – Thailand ร่วมกับบริษัทนำเที่ยว คือ EF Ultimate Break และ Intrepid ในสหรัฐอเมริกา และ MinAsia ในบราซิล นำคณะ Influencers กลุ่ม Gen Z จำนวน 30 ราย เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย โดยแบ่งการเดินทางออกเป็น 4 เส้นทาง ตามโปรแกรมในการเสนอขายที่แต่ละบริษัทมี ซึ่งรวมสินค้าและบริการด้าน Sustainable จากโครงการ Tourism Cares - Air Canada เปิดเส้นทางบินตรง แวนคูเวอร์-กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 2 พฤษภาคม 2568
ภาพรวมภูมิภาคเอเชียใต้ เป็นหนึ่งในกลุ่มตลาดนักท่องเที่ยวตลาดระยะใกล้ที่มีอัตราการเติบโตดีทั้งด้านจำนวนและรายได้เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันในปี 2567
ตลาดหลัก “อินเดีย” เติบโตดีอย่างต่อเนื่อง จำนวนนักท่องเที่ยวอินเดียเข้าไทย 5.44 แสนคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2567 เป็นตลาดศักยภาพที่มีจำนวนและรายได้สูง ติดอันดับ TOP 10 จำนวนและรายได้ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม 2568
ตลาดขนาดเล็กในภูมิภาคนี้ที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวเติบโตดีคือ ศรีลังกา เพิ่มขึ้นร้อยละ 82 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2567
ตลาดบังคลาเทศ มีจำนวนนักท่องเที่ยวลดลงร้อยละ 14 เทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2567 เนื่องจากเศรษฐกิจหดตัวอย่างต่อเนื่อง จากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองในช่วงปี 2567 ส่งผลให้ชาวบังคลาเทศลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น โดยเฉพาะการเดินทางท่องเที่ยวออกนอกประเทศ โดยนักท่องเที่ยวบังคลาเทศที่เดินทางท่องเที่ยวออกต่างประเทศ มีจำนวนลดลงประมาณร้อยละ 80 หลังเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบดังกล่าว
ปัจจัยสนับสนุนการเดินทาง มีดังนี้
-
- เศรษฐกิจของประเทศอินเดียมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอินเดียมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก โดยชาวอินเดียที่มีรายได้ระดับปานกลางมีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 7.4 ต่อปี ทำให้ชาวอินเดียมีกำลังในการใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งนิยมเดินทางท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่มขึ้น
- ประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายทางการท่องเที่ยวยอดนิยมของนักท่องเที่ยวอินเดีย โดยข้อมูลจากระบบ ForwardKeys ระบุว่า ประเทศไทยติดอันดับ 2 จุดหมายทางการท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวอินเดียเลือกเดินทางมากที่สุด รองจากประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ผนวกกับมาตรการยกเว้นวีซ่า (Visa Exemption) เพื่อการท่องเที่ยว การติดต่อธุรกิจ และการทำงานระยะสั้น สิทธิพำนักในไทยสูงสุด 60 วัน ทำให้นักท่องเที่ยวอินเดียส่วนใหญ่เลือกประเทศไทยเป็นจุดหมายทางการท่องเที่ยว โดยเฉพาะกลุ่ม MICE และกลุ่ม Wedding ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางเข้าไทยและเพิ่มระยะเวลาพำนักในไทยให้นานขึ้น
- เทศกาลเฉลิมฉลองการจัดงานแต่งงานของชาวอินเดียในช่วงเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงที่ชาวอินเดียนิยมจัดงานแต่งงาน ส่งผลให้มีการเดินทางท่องเที่ยวทั้งภายในประเทศและต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น โดยการเดินทางมาจัดงานแต่งงานในประเทศไทยมีข้อได้เปรียบด้านค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าการจัดงานในอินเดีย ซึ่งช่วยเพิ่มรายได้และกระตุ้นการท่องเที่ยวไทยในระยะสั้น ประกอบกับการโฆษณาประชาสัมพันธ์การจัดงาน Wedding และ Celebration ในไทย ผ่าน Wedding Vows Private Limited Online ของ ททท. ร่วมกับพันธมิตร ช่วยสร้างการรับรู้และกระตุ้นการเดินทางของชาวอินเดีย
- จำนวนที่นั่งโดยสาร (Seat Capacity) และเส้นทางบินใหม่
-
- Seat Capacity มีจำนวน 1,231,596 ที่นั่ง เพิ่มขึ้นร้อยละ 36 จากช่วงเวลาเดียวกันในปี 2567 และมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 6 เทียบกับปี 2562 ก่อนเกิดวิกฤต Covid-19
- การเปิดเส้นทางบินใหม่เข้าไทยจากตลาดอินเดียไปยังเมืองท่องเที่ยวทางทะเล
- เส้นทางมุมไบ-กระบี่ โดยสายการบิน Indigo จำนวน 6 เที่ยวบิน/สัปดาห์
- เส้นทางไฮเดอราบาด-ภูเก็ต โดยสายการบิน Air-India Express จำนวน 6 เที่ยวบิน/สัปดาห์
ภาพรวมภูมิภาคโอเชียเนีย มีอัตราการเติบโตทั้งด้านจำนวนและรายได้เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันในปี 2567 โดยจำนวนนักท่องเที่ยวฟื้นตัวกลับมามากกว่าปี 2562 ก่อนวิกฤตโรคระบาดปี 2562
ตลาดหลัก “ออสเตรเลีย” และตลาดนิวซีแลนด์ ยังคงมีการเติบโตดีต่อเนื่องจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 และทั้งสองตลาดมีจำนวนนักท่องเที่ยวฟื้นตัวกลับมามากกว่าปี 2562 ในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม 2568
ปัจจัยสนับสนุนการเดินทาง มีดังนี้
- Sentiment ของนักท่องเที่ยวออสเตรเลียและผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวในออสเตรเลียที่มีต่อการท่องเที่ยวของประเทศไทยเป็นไปในเชิงบวก โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้
- นักท่องเที่ยวออสเตรเลียยังคงมองว่าประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยม เนื่องจากความหลากหลายทางวัฒนธรรม ชายหาดที่สวยงาม และค่าใช้จ่ายในการเดินทางที่คุ้มค่า รวมทั้ง การให้ความสนใจกับการมองหาประสบการณ์ที่แปลกใหม่และแท้จริงในประเทศไทย อาทิ การชิมอาหารท้องถิ่น การเข้าร่วมเทศกาลทางวัฒนธรรม และการทำกิจกรรมเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติ
- ภาคธุรกิจท่องเที่ยวในออสเตรเลียมีมุมมองเชิงบวกต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย โดยระบุว่า ความต้องการแพ็กเกจท่องเที่ยวไทยมีแนวโน้มสูงขึ้น (ข้อมูลจาก ททท. สำนักงานซิดนีย์) จากการส่งเสริมตลาดการท่องเที่ยวของ ททท. ร่วมกับพันธมิตร เพื่อกระตุ้นการเดินทางและเพิ่มการใช้จ่าย ภายใต้แคมเปญ “Jetstar Hotels and Holidays x Thailand | January 2025” โดยเสนอขายแพ็กเกจเที่ยวบินและที่พักราคาพิเศษในประเทศไทยผ่านสื่อออนไลน์ ในพื้นที่เพิร์ท ซิดนีย์ และเมลเบิร์น รวมถึงการมุ่งเน้นเจาะกลุ่มตลาดเป้าหมาย กลุ่ม Gen X (อายุ 45-55 ปี) ที่มีรายได้สูงและชื่นชอบกิจกรรมดำน้ำ และมุ่งเน้นกลุ่มความสนใจพิเศษ กลุ่ม Golf โดยการโฆษณาประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวและแพ็กเกจดำน้ำ/กอล์ฟในประเทศไทย ลงในนิตยสารและสื่อออนไลน์
- นักท่องเที่ยวออสเตรเลียมีแนวโน้มเดินทางออกนอกประเทศสูงขึ้นในปี 2568 และคาดว่าจะสูงกว่าช่วงก่อนวิกฤต Covid-19 โดยประเทศในแถบเอเชียเป็นจุดหมายทางการท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมสูงที่สุด (ข้อมูลจากการคาดการณ์ของสำนักงานสถิติแห่งชาติออสเตรเลีย) ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลจากระบบ ForwardKeys ที่ระบุว่า จุดหมายทางการท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวออสเตรเลียเลือกเดินทางมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น และอินโดนีเซีย โดยประเทศไทยติดอันดับ 9
- จำนวนที่นั่งโดยสาร (Seat Capacity) มีจำนวน 276,282 ที่นั่ง เพิ่มขึ้นร้อยละ 60 จากช่วงเดียวกันในปี 2567 และมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 12 เทียบกับปี 2562 ก่อนเกิดวิกฤต Covid-19
ภาพรวมภูมิภาคตะวันออกกลาง ในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม 2568 มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 11 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2567
โดย ตลาดหลัก “ซาอุดีอาระเบีย” เพิ่มขึ้นร้อยละ 13 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2567 ในขณะที่ “สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์” มีอัตราการเติบโตหดตัวลดลงร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 เนื่องจาก
- นักท่องเที่ยวเร่งการเดินทางหลังช่วงฤดูถือศีลอดของชาวมุสลิม (รอมฎอน) โดยเฉพาะตลาดขนาดใหญ่ ซาอุดีอาระเบีย คูเวต และโอมาน แม้ตรงกับช่วงฤดูถือศีลอดของชาวมุสลิม ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ – 29 มีนาคม 2568 โดยมีการเดินทางเข้ามาของนักท่องเที่ยวภูมิภาคตะวันออกกลาง ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2568 เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกัน ปี 2567 (รอมฎอนปี 2567 ตรงกับช่วงวันที่ 11 มีนาคม – 9 เมษายน 2567)
- นักท่องเที่ยวสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มีแนวโน้มเลือกเดินทางไปท่องเที่ยวในแถบประเทศยุโรป เช่น สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และรัสเซีย เพื่อสัมผัสอากาศหนาวเย็นที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวตะวันกลางในช่วงต้นปีก่อนเข้าสู่ช่วงถือศีลอดของชาวมุสลิม นอกจากนี้ รายงานของ Wego’s Top Travel Trending แพลตฟอร์มออนไลน์ด้านการท่องเที่ยวชั้นนำในภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือระบุว่า ตลาดนักท่องเที่ยวซาอุดีอาระเบีย มีการเลือกเดินทางไปท่องเที่ยวพักผ่อนยังประเทศแถบตะวันออกกลางและเอเชียใต้มากขึ้น โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวอียิปต์ ปากีสถาน และอินเดีย ซึ่งมีการอำนวยความสะดวกด้านวีซ่า เหมาะสำหรับการเดินทางของชาวตะวันออกกลางที่นิยมเดินทางกลุ่มครอบครัว
ภาพรวมภูมิภาคแอฟริกา ทั้งจำนวนและรายได้มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2567 และเป็นภูมิภาคที่มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นสูงที่สุดเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น
ตลาดหลัก “แอฟริกาใต้” มีจำนวนนักท่องเที่ยวประมาณ 1.3 หมื่นคน หดตัวร้อยละ 3 ในขณะที่ตลาดอื่น ๆ ในภูมิภาคแอฟริกา มีจำนวนประมาณ 2.3 หมื่นคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 56 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปี 2567
ปัจจัยสนับสนุนการเดินทาง มีดังนี้
- ประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมระยะไกล ด้วยความหลากหลายของแหล่งท่องเที่ยว วัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ และอัตราค่าใช้จ่ายที่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเดียวกัน
- นักท่องเที่ยวแอฟริกานิยมเดินทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงมายังประเทศไทย โดยผ่านภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยเฉพาะสายการบินจากประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และกาตาร์ มีจำนวนที่นั่งเครื่องบินรวม 2.8 แสนที่นั่ง เพิ่มขึ้นร้อยละ 8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปี 2567 ช่วยเพิ่มความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยว (ข้อมูลจากระบบ ForwardKeys)
- School Holiday ของประเทศแอฟริกาใต้ เอื้อให้นักท่องเที่ยวแอฟริกากลุ่มเดินทางเป็นครอบครัว เดินทางออกต่างประเทศเพื่อการท่องเที่ยวมากขึ้น
แนวโน้มสถานการณ์ท่องเที่ยวตลาดต่างประเทศ เดือนเมษายน-มิถุนายน 2568
สถานการณ์การเดินทางของนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยระหว่างเดือนเมษายน-มิถุนายน 2568 คาดว่ามีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากช่วงเวลาเดียวกันปีที่ผ่านมา โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยประมาณ 8.37 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 และสร้างรายได้ทางการท่องเที่ยวประมาณ 390,420 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2567
ปัจจัยสนับสนุนและปัจจัยท้าทายตลาดต่างประเทศในช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน 2568
(เรียงลำดับจากมากไปน้อยตามความสำคัญของปัจจัยต่อการเติบโตของการเดินทางเข้าไทยของนักท่องเที่ยวต่างชาติ)
ปัจจัยสนับสนุน
- Forward Booking การจองบัตรโดยสารเครื่องบินล่วงหน้าเข้าไทย (เมษายน-มิถุนายน 2568) มีแนวโน้มเป็นบวก ภาพรวมยอดจองฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567
- TOP 5 ตลาดที่มียอดจองฯ เข้ามามากที่สุด ได้แก่
สหราชอาณาจักร เยอรมนี เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และอิสราเอล - ตลาดที่มีแนวโน้มยอดจองฯ เติบโตเพิ่มขึ้นสูงจากช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มตลาดระยะไกล อาทิ อิสราเอล (ร้อยละ 98) รัสเซีย (ร้อยละ 66) อิตาลี (ร้อยละ 60) สหราชอาณาจักร (ร้อยละ 42) สเปน (ร้อยละ 25) ส่วนตลาดระยะใกล้ อาทิ ญี่ปุ่น (ร้อยละ 12) ออสเตรเลีย (ร้อยละ 11)
(ที่มา: ระบบ ForwardKeys ณ วันที่ 23 มีนาคม 2568)
- การจัดงานเทศกาลสงกรานต์ไทยระดับ World Class Event อาทิ Maha Songkran World Water Festival 2025 ณ ท้องสนามหลวง ถนนราชดำเนิน กรุงเทพฯ และงานเทศกาลสงกรานต์ที่จัดขึ้นทั่วประเทศไทย รวมทั้งการจัดกิจกรรม “Grand Songkran Grand Privileges” ของ ททท. ร่วมกับพันธมิตร เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเดินทางและการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว ด้วยการนำเสนอสิทธิประโยชน์ส่วนลดการใช้จ่ายในห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร สวนสนุก การคมนาคม สปา ร้านสะดวกซื้อ และร้านขายของที่ระลึก ที่เข้าร่วมรายการ นอกจากนี้ ยังมีการจัดงานเทศกาลดนตรี SIAM Songkran Music Festival ของภาคเอกชน ซึ่งคาดว่าจะช่วยดึงดูดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยมากขึ้น
- Seat Capacity จากต่างประเทศเข้าไทย (เมษายน-มิถุนายน 2568) เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันในปี 2567 สามารถช่วยรองรับความต้องการเดินทางมายังประเทศไทย
- ภาพรวมปี 2568 จำนวนที่นั่งโดยสาร 48 ล้านที่นั่ง ฟื้นตัวร้อยละ 86 ของจำนวนที่นั่งในปี 2562 (56 ล้านที่นั่ง)
- จำนวนที่นั่งฯ เดือนเมษายน-มิถุนายน 2568 รวม 11.8 ล้านที่นั่ง เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2567 หรือฟื้นตัวร้อยละ 89 ของจำนวนที่นั่งปี 2562 (13 ล้านที่นั่ง) (ข้อมูลจากระบบ OAG ณ วันที่ 14 มีนาคม 2568)
- การเปิดเที่ยวบินใหม่ เดือนเมษายน-มิถุนายน 2568 ไม่น้อยกว่า 12 เส้นทาง บินตรงเข้าสู่กรุงเทพฯ เชียงใหม่ เชียงราย และภูเก็ต
- วันหยุดสำคัญของตลาดต่างประเทศ ส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวเดินทางท่องเที่ยวออกต่างประเทศเพิ่มขึ้น อาทิ
- เทศกาลอีสเตอร์ (7-20 เมษายน 2568)
- เทศกาลสงกรานต์/ปีใหม่ ประเทศอาเซียน (12-16 เมษายน 2568) : ลาว สิงคโปร์ เมียนมา
- Post Ramadan (หลังวันที่ 31 มีนาคม 2568)
- เทศกาล Golden Week ญี่ปุ่น (29 เมษายน – 5 พฤษภาคม 2568)
- วันหยุดวันแรงงาน (จีน) (1-5 พฤษภาคม 2568)
- การส่งเสริมตลาดการท่องเที่ยวของ ททท. ร่วมกับพันธมิตร เพื่อกระตุ้นการเดินทางเข้าไทยของนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน 2568 และระยะต่อไป อาทิ
- แคมเปญ “Amazing Thailand Grand Tourism & Sports Year 2025” โดยมีการดำเนินการภายใต้โครงการ Thailand Summer Festivals Months 7Wonders Summer Festivals” ใน 7 หมวดหมู่กิจกรรม ตลอด 7 เดือน ตั้งแต่เดือนมีนาคม-กันยายน 2568 ได้แก่ เทศกาลสงกรานต์ เทศกาล Pride เทศกาลทางวัฒนธรรม ดนตรี กีฬา อาหาร และเทศกาลเชิงศิลปะและความสร้างสรรค์ (Art & Creativity) ถือเป็นการส่งเสริมภายใต้ Grand Festivitiy ของ ททท.
- การจัดและเข้าร่วมงาน Consumer Fair/ Travel Fair/ Trade Meet/ Road Show ในพื้นที่ตลาดเป้าหมาย อาทิ ฟินแลนด์ เยอรมนี สเปน มาเลเซีย อินเดีย จีน ฮ่องกง ไต้หวัน ฯลฯ
- คอนเสิร์ตแฟนมีตในประเทศไทยดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะศิลปินนักแสดงไทยจากซีรีส์ Boy Love / Girl Love อาจมีส่วนช่วยให้เกิดกระแสการเดินทางของนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทย โดยเฉพาะกลุ่มแฟนคลับศิลปินประเทศแถบเอเชียที่นิยมเดินทางเข้ามาชมคอนเสิร์ต และใช้จ่ายเพื่อร่วมกิจกรรมของศิลปินและท่องเที่ยวในประเทศไทย
- มาตรการภาครัฐส่งเสริมการเดินทางเข้าไทย โดยเฉพาะ
การปรับปรุงขั้นตอนกระบวนการตรวจลงตราให้มีประสิทธิภาพ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวและผู้เดินทางมายังประเทศไทย ดังนี้
มาตรการใหม่ ที่คาดว่าจะเริ่มใช้ในเดือนพฤษภาคม 2568
- ให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัล ระบบ ตม.6 ออนไลน์ (Thailand Digital Arrival Card) โดยสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เริ่มวันที่ 1 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป ช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ให้ประเทศไทยเป็น Smart Tourism Destination
มาตรการเดิม ที่บังคับใช้อยู่ ณ ปัจจุบัน
- ยกเว้นการตรวจลงตรา (Visa Exemption) 93 ประเทศ
- ยกเว้นยื่นแบบ ตม.6 ชั่วคราว ณ ด่านตรวจคนเข้าเมืองทางบกและทางน้ำที่เดินทางมากับเรือสำราญและกีฬา (ยอร์ช) จำนวน 16 ด่าน (15 ตุลาคม 2567 – 30 เมษายน 2568)
- Visa on Arrival (VOA) ณ ช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมือง จำนวน 31 ประเทศ
- Destination Thailand Visa (DTV) สิทธิพำนักในไทยครั้งละไม่เกิน 180 วัน ไม่จำกัดครั้งภายในระยะเวลา 5 ปี
ปัจจัยท้าทาย/ประเด็นติดตาม
- ปัญหาภาพลักษณ์ความไม่ปลอดภัยของประเทศไทย เนื่องจากการเผยแพร่ภาพข่าวสารเชิงลบกระจายในสื่อโซเชียลมีเดียอย่างต่อเนื่อง ก่อให้เกิดภาพลักษณ์เชิงลบด้านความปลอดภัยและความไม่มั่นใจในการเดินทางมาประเทศไทย อาจส่งผลต่อการตัดสินใจยกเลิกหรือเลื่อนการเดินทางของนักท่องเที่ยวมายังประเทศไทย โดยเฉพาะตลาดที่มีความอ่อนไหวสูง (กรุ๊ปทัวร์ / กลุ่มครอบครัวสูงวัย / ประชุมสัมมนา) โดยเฉพาะตลาดจีน ฮ่องกง ไต้หวัน
- เหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศไทย (วันที่ 28 มีนาคม 2568) คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการตัดสินใจเดินทางมาท่องเที่ยวในระยะสั้น เนื่องจากมีภาพข่าวในเรื่องความไม่เชื่อมั่นในความแข็งแรงของตึกที่ถล่ม รวมทั้งข่าวที่กระทบกับบริษัทจีนที่สร้างตึก
ทั้งนี้ ต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะตลาดนักท่องเที่ยวจีน ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ เวียดนาม ซึ่งมีความอ่อนไหวสูง รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติบางส่วนอาจเปลี่ยนการเดินทางท่องเที่ยวไปยังจุดหมายปลายทางอื่นแทน โดยเฉพาะประเทศในแถบเอเชียที่มีข้อได้เปรียบด้านการจัดการความปลอดภัย อาทิ ญี่ปุ่น จีน สิงคโปร์
- มาตรการภาษีตอบโต้ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ต่อประเทศคู่ค้า ซึ่งมีแนวโน้มจะมุ่งสู่สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา มีความสุ่มเสี่ยงให้เกิดเศรษฐกิจถดถอยในประเทศต่าง ๆ ที่คาดว่า ค่าครองชีพจะเพิ่มสูงขึ้นจากสินค้าที่ขึ้นราคา
- การแข่งขันแย่งชิงส่วนแบ่งนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะการวางตำแหน่งทางการตลาดให้เป็นจุดหมายปลายทางงานแสดงคอนเสิร์ตศิลปินระดับโลกเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ อาทิ
- “สิงคโปร์” กำหนดจัดการแสดงคอนเสิร์ตศิลปินระดับโลก เลดี้ กาก้า (Lady Gaga) อย่างเป็นทางการในวันที่ 18-19, 21 และ 24 พฤษภาคม 2568 ณ สนามกีฬาแห่งชาติสิงคโปร์ (Singapore National Stadium) แห่งเดียวในเอเชีย และได้กระแสตอบรับจากแฟนเพลงทั่วภูมิภาค โดยเฉพาะการจองที่พักในสิงคโปร์เพิ่มขึ้นถึง 358% (ข้อมูลจาก Agoda)
- ต้นทุนการเดินทางท่องเที่ยวระหว่างประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น จากปัจจัยด้านราคาบัตรโดยสารเครื่องบิน ราคาโรงแรมที่พัก ปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงกฎระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ เริ่มมีผลบังคับตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา อาทิ
- มาตรการภาษีเพื่อการท่องเที่ยวต่างประเทศ
มาตรการภาษีด้านสิ่งแวดล้อม (เยอรมนี)
- การจัดเก็บค่าธรรมเนียมด้านสิ่งแวดล้อมเพิ่มเติมของ Lufthansa Group ซึ่งค่าธรรมเนียมอยู่ระหว่าง 1-72 ยูโร (ประมาณ 40-2,836 บาท) สำหรับเส้นทางจากประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป 27 ประเทศ รวมถึง สหราชอาณาจักร นอร์เวย์ สวิตเซอร์แลนด์
อาจส่งผลต่อการตัดสินใจเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางต่าง ๆ โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวระยะไกล (เอเชียแปซิฟิก และประเทศไทย) และกลุ่มที่นิยมเดินทางแบบครอบครัว อาจทำให้นักท่องเที่ยวเปลี่ยนเส้นทางการท่องเที่ยวไปยังจุดหมายปลายทางที่ใช้เวลาสั้นกว่าและต้นทุนถูกกว่า