‘DESERT SUPERCITY’ มหานคร แห่งทะเลทราย
As a wealthy country from exporting oil to the world market, Saudi Arabia’s economy and major income significantly depends on oil trading. In truth, the rising era of oil has been consistently declining and it is time to have a serious review for building a balance of the country’s economy with the main objective of reforming the economic growth by generating income from various industries. By all means, one of the mentioned strategies is the “tourism” industry that is on the top of the list expected to be the country’s income stimulus.
เมื่อพูดถึงซาอุดีอาระเบีย ความคิดของคนส่วนใหญ่คงจะนึกถึงภาพประเทศที่มีความมั่งคั่งจากการเป็นผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ของโลก ทริปเดินทางไปเที่ยวพักผ่อนที่ซาอุดีอาระเบียจึงไม่ใช่คำคุ้นหูนักท่องเที่ยวสักเท่าไหร่ แต่เหตุผลทั้งหมดทั้งมวลนี้แหละที่อาจทำให้เราเปลี่ยนความคิดใหม่
ทุกคนทราบกันอยู่ว่าซาอุดีอาระเบียเป็นประเทศที่มีความร่ำรวยจากการส่งออกน้ำมันสู่ตลาดโลก เศรษฐกิจและรายได้หลักของประเทศจึงพึ่งพาการผลิตและการค้าน้ำมันดิบเป็นหลัก แต่ความจริงที่เห็นคือยุคเฟื่องฟูของน้ำมันกำลังถดถอยลงไปเรื่อยๆ รวมทั้งโลกก็เริ่มแสวงหาพลังงานทางเลือก จนเกิดเหตุการณ์ความผันผวนของราคาน้ำมันและวิกฤติเศรษฐกิจที่ลุกลามไปทั่วโลก ซาอุดีอาระเบียจึงต้องเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจแบบไม่ทันตั้งตัว ด้วยเหตุนี้ ซาอุดีอาระเบียจึงต้องหันมาทบทวนเรื่องการสร้างสมดุลเศรษฐกิจของประเทศครั้งใหญ่
หากมองประเด็นตามนี้ วันนี้ซาอุดีอาระเบียยังมีพื้นที่ว่างอยู่มาก รัฐบาลจึงผุดไอเดียเมกะโปรเจกต์ ‘เมืองแห่งอนาคต’ โดยหวังให้เป็นแม็กเน็ตเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยว (จากที่ส่วนใหญ่จะเดินทางเข้ามาโดยมีวัตถุประสงค์เชิงศาสนา) ให้ลองมองซาอุดีอาระเบียในมุมใหม่ แบบที่ไม่มีใครเคยไปเห็นมาก่อน
ภายใต้เศรษฐกิจโลกที่มีความท้าทายมากยิ่งขึ้น นโยบาย Vision 2030 ของมกุฎราชกุมารมูฮัมหมัด บิน ซัลมาน คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่ต้องการผลักดันซาอุดีอาระเบียเปลี่ยนภาพลักษณ์จากประเทศที่ยึดกรอบของศาสนาอิสลามอย่างเคร่งครัด มีเป้าหมายหลักคือ การปฏิรูปให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตสร้างรายได้จากอุตสาหกรรมที่หลากหลาย และแน่นอนว่ายุทธศาสตร์หนึ่งที่ถูกพูดถึง นั่นก็คืออุตสาหกรรม ‘ท่องเที่ยว’ ซึ่งนับเป็นเรื่องต้นๆ ที่ถูกคาดหวังให้เป็นตัวกระตุ้นรายได้ให้กับประเทศ คาดว่าการท่องเที่ยวจะนำรายได้เข้าประเทศได้มากถึง 18% ของรายได้ภายในปี 2030 ด้วยการเน้นตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มทั่วไปนอกเหนือจากกลุ่มศาสนาที่นับเป็นกลุ่มกระแสหลักให้ความสำคัญกับนวัตกรรมและเทคโนโลยี ตลอดจนการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ในประเทศ เช่น พื้นที่ว่างเปล่าให้เกิดประโยชน์ในแง่ของมูลค่าทางเศรษฐกิจ
คงไม่แปลกถ้าจะบอกว่าตอนนี้ซาอุดีอาระเบียกำลังจะรุกเข้าสู่ตลาดการท่องเที่ยวอย่างเต็มตัว ดังนั้น การสร้างเมืองจึงมีบทบาทสำคัญในการรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะหลั่งไหลเข้ามา
ช่วงเวลาสำคัญทางประวัติศาสตร์
การโปรโมตการท่องเที่ยวของซาอุดีอาระเบียในครั้งนี้ สร้างความฮือฮาในโลกโซเชียลมีเดียมากเป็นพิเศษ เพราะถือเป็นช่วงเวลาสำคัญทางประวัติศาสตร์ของชาติที่เปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวเป็นครั้งแรก ภาพจำที่เรามองเห็นคือ ซาอุดีอาระเบียเป็นประเทศแห่งทะเลทรายแห้งแล้ง แต่กลับประกาศกร้าวว่าจะพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลให้เป็นเหมือนมัลดีฟส์ นอกจากนี้ยังมีการโปรโมตเมืองโบราณสถานอย่าง Medain Saleh สุสานโบราณในภูเขาหินสีชมพูที่เป็นมรดกโลกแห่งแรกของประเทศอีกด้วย
วิสัยทัศน์ของผู้นำประเทศ
บนผืนทรายกว้างสุดลูกหูลูกตา ซาอุดีอาระเบียกำลังสร้างเมืองแห่งนวัตกรรมระดับโลกอย่างขะมักเขม้น มีชื่อโปรเจกต์นี้ว่า ‘Neom’ หวังจะสร้างสมดุลทางเศรษฐกิจ และหากโครงการนี้ประสบความสำเร็จก็จะเปลี่ยนประเทศที่มีความมั่งคั่งจากการเป็นผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ของโลกเป็นประเทศที่สร้างเม็ดเงินจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวได้อย่างมหาศาลในปี 2030 ดินแดนแห่งนี้จะกลายเป็นศูนย์กลางด้านบันเทิงครบวงจรที่มีขนาดใหญ่กว่า Disney World ถึง 2.5 เท่า แม้ว่าอาจจะฟังดูห่างไกลจากภาพความเป็นจริงอยู่มาก แต่ถ้าประสบความสำเร็จ Neom จะมีทั้งแรงงานหุ่นยนต์ รถยนต์บินได้ ชายหาดที่เต็มไปด้วยเม็ดทรายเรืองแสง แม้กระทั่งดวงจันทร์เทียม
เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นหลังมกุฎราชกุมารมูฮัมหมัด บิน ซัลมาน ทรงเฮลิคอปเตอร์บินสำรวจพื้นที่แถบตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศเมื่อหลายปีก่อน คนทั่วไปอาจจะมองเห็นแค่ผืนทรายแห้งแล้ง แต่กลับทรงมองเห็นขุมทรัพย์และภาพเมืองแห่งอนาคต จนกลายมาเป็นโปรเจกต์สร้างเมืองใหม่ในนาม ‘Neom’ ที่มีมูลค่าสูงถึง 5 พันล้านเหรียญสหรัฐครอบคลุมผืนทรายกว้างสุดลูกหูลูกตา รวมไปถึงพื้นที่ริมชายฝั่งรวมๆ
แล้วกว่า 26,500 ตารางกิโลเมตร (ใหญ่กว่านิวยอร์ก 33 เท่า) เพื่อดึงดูดคนเก่งคนมีความสามารถจากทั่วโลกให้มาอยู่อาศัยที่นี่ โดย Neom จะเป็นเมืองที่มีอัตราค่าจ้างที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งคาดว่าโครงการส่วนแรกของ Neom จะสร้างเสร็จภายในปี 2025 จริงๆ แล้ว Neom มาจากคำกรีกโบราณที่มีความหมายว่า ‘ใหม่’ และ คำในภาษาอารบิกที่มีความหมายว่า ‘อนาคต’ ผสมกันออกมาเป็นคำที่มีความหมายว่า ‘ดินแดนแห่งอนาคตใหม่’ คนซาอุดีอาระเบียเรียกดินแดนแห่งนี้ว่า ‘สุดขอบฟ้า’ พื้นที่แห่งนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ บริเวณรอบนอกเมืองรียาด (เมืองหลวงของซาอุดีอาระเบีย) เป็นจุดเชื่อมต่อ 3 ภูมิภาค ได้แก่ เอเชีย ยุโรป และแอฟริกา ลักษณะภูมิประเทศเช่นนี้ ทำให้กว่า 70% ของการเดินทางมายัง Neom จากทุกมุมโลกใช้เวลาเฉลี่ยเพียง 8 ชั่วโมง
ตั้งเป้านักท่องเที่ยว 100 ล้านคน
ภายในปี 2030
ล่าสุด ทางการซาอุดีอาระเบียให้ฟรีวีซ่ากับนักท่องเที่ยวจาก 49 ประเทศเพื่อนำร่องให้ชาวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศมากยิ่งขึ้น และเพื่อผลักดันเป้าหมายการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวเป็น 100 ล้านคนต่อปีให้ได้ภายในปี 2030 (ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวราว 15 ล้านคน) โดยเป้าหมายสำคัญคือการสร้างสัดส่วนรายได้จากการท่องเที่ยวให้ได้ 10% ของมูลค่า GDP ภายในปี 2030 ให้เป็นจริงได้ยิ่งขึ้น พร้อมกันนี้ซาอุดีอาระเบียยังลดความเข้มงวดของจารีตประเพณีและกฎหมายที่ยึดถือและถูกตีกรอบกันมาอย่างยาวนาน เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการยกเว้นให้ชาวต่างชาติไม่ต้องสวมผ้าคลุมสีดำในที่สาธารณะเพียงแต่ต้องแต่งกายให้เรียบร้อย การดื่มแอลกอฮอล์ และให้นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถเข้าพักโรงแรมด้วยกันได้โดยไม่จำเป็นต้องแสดงหลักฐานความเป็นสามี ภรรยา
ส่งเสริม การท่องเที่ยวแบบ hyper-luxury ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย
หนึ่งในแผนปฏิรูปประเทศในครั้งนี้ คือการเร่งพัฒนาอาณาจักรท่องเที่ยวแห่งใหม่แถบชายฝั่งทะเลทางตะวันตกให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวแบบหรูหราครบวงจร สร้างประสบการณ์ลงลึกไปถึงตัวบุคคล เริ่มตั้งแต่นาทีที่ค้นข้อมูลด้านการท่องเที่ยวไปจนถึงตอนนักท่องเที่ยวเดินทางกลับบ้าน
ข้อมูลจากเว็บไซต์ redsea.sa บอกว่า โปรเจกต์นี้ประกอบไปด้วยการสร้างโรงแรม รีสอร์ต ระดับหรูมาก (ถึงมากที่สุด) กว่า 2,500 ห้อง และวิลล่าอีกกว่า 700 หลัง โดดเด่นเรื่องการท่องเที่ยวเชิงบำบัดรักษา เรื่องสุขภาพและการฟื้นฟูร่างกาย โดยจะพัฒนาไปพร้อมๆ กับด้านกีฬา ศิลปะและวัฒนธรรม ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต ตลอดจนการพักผ่อนทางทะเลเพื่อตอบสนองความต้องการและความชอบของนักท่องเที่ยวที่ต่างกันออกไป ซึ่งจะทำให้เกิดการสร้างงานกว่า 70,000 ตำแหน่ง บวกกับรายได้ราว 22 พันล้านริยัลซาอุดีอาระเบีย (หรือราว 5.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ)
ในช่วงแรกจะมีการสร้างสนามบินพร้อมๆ ไปกับการสร้างรีสอร์ต โรงแรมและแหล่งพักอาศัยบริเวณแถบชายฝั่ง รวมถึงเกาะเล็กเกาะน้อยกว่า 90 เกาะในทะเล Red Sea มีฉากหลังเป็นแนวภูเขาและทะเลทรายที่สวยงามแบบมีมนต์ขลัง โครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทางทะเลดังกล่าวมีขนาดเทียบเท่ากับประเทศเบลเยียม มีความยาวรวม 200 กิโลเมตร และคาดว่าโครงการในระยะแรกจะแล้วเสร็จในปี 2022
ขึ้นชื่อว่าทุนหนาระดับซาอุดีอาระเบีย การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในโปรเจกต์นี้คงจะไม่ธรรมดาแน่นอน เพราะได้ผ่านการเสนอให้นำเอานวัตกรรมก้าวล้ำมาประยุกต์ใช้ในการออกแบบประสบการณ์แบบไร้รอยต่อให้กับผู้มาเยือนในทุกมิติ แม้แต่ปัญหา Overtourism ที่เป็นเรื่องหนักใจของหลายประเทศทั่วโลก ก็จะมีการนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสภาพนักท่องเที่ยวล้นเมืองแบบที่หลายๆ ประเทศเจอกันอยู่รวมไปถึงเทคโนโลยีการพัฒนาระบบควบคุมผลกระทบที่เกิดจากสิ่งแวดล้อมต่างๆ การผลิตน้ำจืด การกำหนดรูปแบบของทิศทางลมและระดับน้ำขึ้นน้ำลง และอื่นๆ อีกมากมาย จะเป็นจริงได้หรือไม่คงต้องจับตาดูกันต่อไป
Neom ศูนย์กลางด้านนวัตกรรม
และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
“ผู้คนใน Neom จะเดินทางไปทำงานด้วยแท็กซี่โดรน มีหุ่นยนต์แม่บ้าน เมืองนี้จะเข้ามาแทนที่ซิลิคอนวัลเลย์ และเป็นจุดหมายใหม่ของธุรกิจด้านเทคโนโลยีทั้งหมดของโลก หากเป็นความบันเทิง Neom ก็จะเปรียบได้กับ Hollywood มีความสวยงามทางชายฝั่งทะเลอย่างกับ French Riviera แถบเมดิเตอร์เรเนียนและเป็นความหวังของโลกด้านการตัดต่อเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมที่ส่งเสริมให้มนุษยชาติมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงมากยิ่งขึ้น”
หัวใจสำคัญของการใช้ชีวิตแห่งอนาคตที่ Neom คือ การใช้นวัตกรรมสร้างที่อยู่อาศัยเพื่อเป็นพื้นฐาน รองรับอีก 16 อุตสาหกรรมที่ต้องการผลักดันตามแผนปฏิรูปประเทศ Vision 2030 ไฮไลต์เด่นๆ ของโปรเจกต์สร้างเมืองแห่งนี้มีตั้งแต่การสร้างเมฆฝนเทียมแบบ cloud seeding เพื่อให้เกิดฝนตกอย่างพอเหมาะและควบคุมสภาพอากาศในเมืองให้เหมาะสมกับการอยู่อาศัย รวมถึงสวนสนุกที่เต็มไปด้วยหุ่นยนต์ไดโนเสาร์เดินเพ่นพ่านอย่างอิสระเหมือนในหนังกล้องวงจรปิด โดรน และเทคโนโลยีการสแกนใบหน้าเพื่อยืนยันตัวตนจะมีอยู่ทุกที่ทั่วไปในเมือง Nadhmi Al-Nasr เจ้าหน้าที่บริหารโครงการสร้างบอกว่า Neom จะมีบทบาทในฐานะผู้นำด้านระบบการศึกษาชั้นนำของโลก คุณครูจะทำการสอนหนังสือผ่านระบบโฮโลแกรมที่เหมือนคนจริงทุกประการ และแม้ว่าในปัจจุบันเมืองรียาดจะไม่ค่อยมีร้านอาหารระดับ Michelin อยู่เลย แต่ใน Neom จะมีตัวเลือกร้านอาหาร Michelin ให้เห็นอย่างหลากหลาย รวมถึงส่งเสริมการจัดกีฬานานาชาติ
Nadhmi Al-Nasr กล่าวเพิ่มเติมว่า Neom คือเมืองแห่งอนาคตอย่างแท้จริง เป็นเมืองที่เหนือความคาดหมาย คือความท้าทายที่ถูกผสมผสานไว้ด้วยความฝันเหนือจินตนาการ เป็นการวางแผนอนาคตที่ทำให้เราทำงานและใช้ชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างทวีคูณ
ส่วนกระบวนการส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวช่วยกันรักษาทรัพยากร จะถูกกระตุ้นตั้งแต่ขั้นตอน check in เข้าที่พัก นักท่องเที่ยวแต่ละคนจะได้รับอุปกรณ์ตรวจนับ carbon footprint เพื่อช่วยให้ตระหนักรู้ถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมการท่องเที่ยวของตนเอง ซึ่งเป็นการสร้างคุณค่าให้การท่องเที่ยวในประเทศเป็นไปอย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ Neom ได้ลงนามข้อตกลงกับบริษัท Solar Water Plc. จากสหราชอาณาจักร ในการสร้างโรงงานผลิตน้ำจืดด้วย ‘โซลาร์โดม’ ที่ผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเลด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ที่มีต้นทุนต่ำและมีความยั่งยืนแห่งแรกของโลก เทคโนโลยีใหม่สามารถช่วยลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากน้ำเกลือเข้มข้นสูงที่เกิดจากกระบวนการผลิตเป็นครั้งแรก โดยน้ำจืดจะถูกผลิตในเวลากลางคืนด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ที่กักเก็บตลอดช่วงกลางวัน ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาสำคัญของโลกในตอนนี้นั่นคือการขาดแคลนแหล่งน้ำจืด เทคโนโลยีนี้ได้ตอกย้ำความมุ่งมั่นของ Neom ในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพื่อโลกที่น่าอยู่ และจะเป็นกรณีศึกษาสำหรับประเทศอื่นๆ ที่ประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำได้นำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในวงกว้าง
น่าตกใจว่าจริงๆ แล้วซาอุดีอาระเบียเป็นประเทศที่มีทะเลทรายสวยงามจับใจ มีแหล่งอารยธรรมที่ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกกว่า 5 แห่งที่ไม่เคยเปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไปเยี่ยมชมมาก่อนเลย ทำให้จุดเด่นของการเปิดประเทศของซาอุดีอาระเบียคือนักท่องเที่ยวจะได้เข้าไปเห็นแหล่งท่องเที่ยวสดใหม่ที่นับว่าสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ไม่ว่าจะเป็นแนวปะการังธรรมชาติในทะเล Red Sea ภูเขาไฟที่สงบแล้ว รวมถึงธรรมชาติและสัตว์ป่าตามธรรมชาติ เช่น เสือดาวอาระเบีย และเหยี่ยวท้องถิ่น ที่สามารถพบได้เฉพาะที่ซาอุดีอาระเบีย
ดึงเอา Influencer ระดับโลก
มาเป็นกระบอกเสียง
ควบคู่ไปกับงานโครงสร้างพื้นฐาน ซาอุดีอาระเบียเปิดตัวแคมเปญปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ประเทศเผยแพร่ผ่านช่องทางออนไลน์โดยเลือก Instagram เป็นช่องทางการสื่อสารหลัก ได้เชิญชวนเหล่าเซเลบริตี้ชื่อดังระดับโลกเดินทางเข้ามายังประเทศในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่มีสภาพอากาศเหมาะเจาะกับการท่องเที่ยว ส่งภาพแห่งความสวยงามและสารแห่งการยินดีต้อนรับนักท่องเที่ยว
สิ่งที่อยากชวนคิดก็คือ
โอกาสนับเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการเติบโตของเมืองต่างๆ ทั่วโลกเห็นได้ชัดว่าเมืองที่มีความคล่องตัวด้านการค้า วัฒนธรรม การผสมผสานทฤษฎีนวัตกรรมต่างๆ จึงเป็นดัชนีชี้ให้เห็นถึงโอกาสในฐานะเมืองใหม่ที่ดึงดูดผู้คนให้เข้ามาท่องเที่ยวและสัมผัสเมือง ตั้งแต่คนที่มีความรู้ความสามารถ คนรุ่นใหม่ที่กระตือรือร้น อยากลองสิ่งใหม่ๆ แม้กระทั่งคนหัวสมัยใหม่ไฟแรงที่เริ่มจะหมดไฟ
อย่างที่มกุฎราชกุมารทรงกล้าคิดต่าง ด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล ทว่าการลงทุนจำนวนมหาศาลกับการสร้างรีสอร์ตสุดหรูในสภาวะเศรษฐกิจถดถอยแบบช่วงเวลานี้ อาจเปรียบได้กับการเล่นพนันที่ไม่มีอะไรบอกได้ว่าจะได้คุ้มเสียหรือไม่ ซาอุดีอาระเบียจึงจำเป็นต้องหาสมดุลนี้ให้เจอแต่อย่างหนึ่งที่นับเป็นความโชคดีคือซาอุดีอาระเบียยังมีดินแดนสวยงามไม่แพ้ที่ไหนในโลกที่ไม่เคยมีใครเคยได้เข้าไปเยือนมาก่อน เพียงเหตุผลเท่านี้ ก็น่าจะเพียงพอที่ทำให้นักท่องเที่ยวทั่วโลกตื่นเต้นกับทริปการไปเยือน ‘Neom’ มหานครใหม่แห่งซาอุดีอาระเบียสักครั้งในชีวิตแล้วจริงไหม
ที่มา
- https://www.arabnews.com/node/1620191/saudi-arabia
- https://globetrender.com/2019/10/21/saudi-arabia-neom/
- https://www.arabianbusiness.com/travel-hospitality/390489-revealed-how-many-morehotel-
- rooms-is-saudi-arabia-planning-to-open
- https://www.statista.com/statistics/1019449/saudi-arabia-number-tourism-establishments/
- https://newsroom.neom.com
- https://www.forbes.com/sites/jimdobson/2018/12/26/saudi-arabia-unveils-plans-tocreate-
- massive-red-sea-wellness-destinations/#3aafd3095dfb
- https://www.theredsea.sa/en#