การเดินทาง เมื่อออกจากบ้าน ไปสู่โลกกว้าง หลัง COVID-19 ยังมีอยู่จริงหรือเปล่า?

The effects of the COVID-19 have caused the world to encounter great change. People have to be careful and care more for cleanliness, which affectstheir living in everyday life. When their tourism plans are cancelled, travelling the globe after the COVID-19 outbreak has to be changed as well. How long will this change continue? This question still has no answer yet. When will we resume our normal way of life like before?

โดย ปฐวี ธุระพันธ์

 

น่าจะเป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่ผมเกิดมาแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ส่งผลกระทบไปทั่วโลก แบบที่เราสามารถสัมผัสได้จริง วันที่กิจวัตรประจำวันของเรา ของคนรอบข้าง ประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงใครอีกหลายคนของอีกซีกโลกต้องเปลี่ยนไปในแบบที่เราไม่เคยได้เตรียมตัวที่จะรับมือกับมัน หรือถ้าเตรียมตัวมาก็ไม่ได้ตั้งรับในแบบที่มันจะยืดเยื้อยาวนานแบบที่เผชิญกันอยู่แทบทุกวินาทีนี้

นอกจากจะต้องควานหาหน้ากากอนามัยกันอย่างชุลมุน ที่ใครได้ในราคาที่ถูกกว่าเพื่อน ก็จะรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ชนะ แบบที่ยักไหล่บอกเพื่อนว่าช่วยไม่ได้จริงๆ นะ ทั้งๆ ที่ราคาที่ได้มาก็คือแพงเหมือนกัน แต่ต่างกันอยู่บาทสองบาท แต่ก็เอาน่า… สถานการณ์แบบนี้ ความสุขในการหยอกล้อนิดๆ หน่อยๆ ก็ทำให้เราลืมอะไรที่มันเจ็บปวดอยู่ในใจลึกๆ ไปได้แล้ว ระหว่างกลับบ้าน ผมต้องเอากุญแจบ้านหรือขอบคีย์การ์ดกดไปที่ปุ่มชั้นของลิฟต์ ขณะที่กำลังจะขึ้นไปที่ชั้นของคอนโดมิเนียมที่ตัวเองอยู่ เพื่อที่จะลดการสัมผัส ซึ่งก็ไม่แน่ใจอีกว่าหลังจากที่จิ้มไปแล้ว มือเราเองเผลอไปถูกุญแจหรือจับคีย์การ์ดเล่นแล้วมาแตะหน้าแตะตาอีกหรือเปล่า

พอจังหวะที่มีคนเข้ามาในลิฟต์ ก็จะรู้สึกกระอักกระอ่วน กลัวตัวเองจะไอหรือจาม แล้วเขาจะมองว่าเราเป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่ อาศัยกลั้นหายใจ รู้สึกวิตกจริตไม่อยากใช้อากาศร่วมกับคนในลิฟต์ การกลั้นหายใจจึงเป็นตัวเลือกสุดท้าย ณ เวลานี้ แต่กว่าจะถึงชั้น 5 ที่ตัวเองอยู่ ก็เกือบขาดอากาศหายใจตาย ไม่อยากนึกเลยว่าถ้าต้องอยู่ชั้น 10 หรือ 20 ขึ้นไปในตึกสูงๆ เราจะหมดลมที่ชั้นที่เท่าไหร่ นี่แค่การเดินเข้าบ้าน เรายังต้องเปลี่ยนและปรับอะไรกันขนาดนี้เลยหรือ?

ยังไม่รวมถึงแผนท่องเที่ยวที่ซื้อตั๋วทิ้งไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว หาช่วงเวลาที่ตั๋วราคาดีที่สุด จองโรงแรมที่ใกล้ และคุ้มค่าต่อการเดินทางที่สุด ต้องพังพินาศชนิดที่ Call Center ต้องทำงานหนักกว่าทุกอาชีพในช่วงที่การท่องเที่ยวตกต่ำในแบบที่ไม่มีใครประเมินมาก่อน ช่วงเวลารอสายเมื่อต้องโทรไปขอ Refund ตั๋วก็ยาวนานชั่วกัปชั่วกัลป์ แถมเวลาที่จะได้เงินคืนนั้น ก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน 45-60 วันนั้นอาจไม่มีจริงอย่างที่ Call Center สาวกล่าวก่อนวางสาย

การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับชีวิตผม อาจเป็นแค่มุมของหน่วยของสิ่งมีชีวิตที่เล็กมาก เมื่อเทียบกับผลกระทบที่เกิดขึ้นกับทุกด้าน ทุกอุตสาหกรรมบนโลกใบนี้ แต่มันจะเป็นแบบนี้ต่อไปอีกนานแค่ไหน ผมจะต้องกลั้นหายใจทุกครั้งที่ขึ้นลิฟต์ไปถึงเมื่อไหร่ ผมจะได้ออกเดินทางอีกครั้งตอนไหนเท่าที่อ่านเจอในเกือบทุกบทความบนโลกออนไลน์ (ใช่ มันคือโลกเดียวที่เราอยู่ได้อย่างสบายใจในช่วงเวลานี้) ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า “สักระยะ” ที่เราต้องห่างกันสักพัก แต่ระยะที่เราพูดถึงนั้น ไม่มีใครรู้เลยว่ายาวนานแค่ไหน จะไปจบลงที่เดือนไหน ปีไหน เราหวังเพียงแค่ว่าพรุ่งนี้จะมีข่าวดีว่าวัคซีนที่หลายๆ ประเทศกำลังพัฒนาจะประสบผลสำเร็จในชั่วข้ามคืน เพื่อที่สุดท้ายแล้วเราจะได้กลับไปใช้ชีวิตปกติแบบที่เราเคยมีกันสักที

แต่ปกติแบบเดิม แบบที่เราเคยมี จะยังมีอยู่จริงหรือเปล่า การออกเดินทางตั้งแต่ออกจากบ้านไปสู่โลกกว้างนั้น จะยังทำได้อยู่ไหม หรือจะมีความปกติแบบใหม่ๆ ซึ่งก็ไม่มีใครการันตีกับเราได้ว่ามันจะเกิดขึ้น แต่เท่าที่ผมลองไปหาข้อมูลมา นี่คือสิ่งที่หลายสำนักต่างเล่าว่า การออกเดินทางไปสู่โลกกว้างหลัง COVID-19 จะกลายเป็นแบบนี้

 


 

1. อีกนานพอสมควร กว่า New Normal จะเกิดขึ้นมาใหม่

 

การออกเดินทางหลัง COVID-19 อาจจะยังต้องใช้เวลาเยียวยาอีกนานกว่าที่เราจะเรียกมันว่า ‘เหมือนเดิม’ แบบแต่ก่อน ดูได้จากประเทศจีน ที่มีการสร้างมาตรการต่างๆ ขึ้นมาป้องกันและการจำกัดการเดินทางมากมายหลังจากที่เกิดการระบาด ผลการศึกษาจาก Trip.com (เอเจนซี่ท่องเที่ยวรายใหญ่ที่สุดของจีน) บอกมาว่า 61% ของผู้ถูกสำรวจ พร้อมที่จะกลับมาเดินทางอีกครั้งในเดือนสิงหาคม 2563, 77% บอกว่าพวกเขาจะเดินทางแค่ในประเทศเท่านั้น และส่วนใหญ่อยากที่จะออกเดินทางไปในที่ที่ไม่ไกลเกินไป เพื่อที่จะได้กลับบ้านได้เมื่อมีเหตุสำคัญเกิดขึ้น

ถ้าในยุโรปหรือสหรัฐอเมริกาเป็นไปตามเทรนด์นี้ ผู้คนต่างอยากออกเดินทางก่อนเดือนตุลาคมที่กำลังจะมาถึง ซึ่งอัตราการพบ-การลดลง ของผู้ติดเชื้อก็แตกต่างกันไปตามประเทศ ซึ่งกว่าจะกลับมาสู่จุดปกติได้นั้นก็ไม่มีความแน่นอนว่าจะเมื่อไหร่ หลายๆ บริษัททั่วโลก รวมถึงในบ้านเรามีการตรวจเช็กอุณหภูมิก่อนเข้างาน หรือทุกครั้งที่มีการผ่านประตูเข้า-ออก ซึ่งถ้าทุกบริษัท ทุกสถานที่เปลี่ยนไปเป็นแบบนี้ อาจจะมีประเทศ หรือสถานที่ท่องเที่ยวที่ปฏิเสธไม่ให้คนที่มีไข้หรือเป็นหวัดเข้าไป เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคหรือไวรัสทุกชนิด ซึ่งถ้าเกิดขึ้นจริง จะมีอีกกี่มาตรการที่จะต้องมารองรับความปกติแบบใหม่นี้ที่กำลังจะเกิดขึ้น

 

 

2. เราจะออกเดินทางอย่างระมัดระวังมากขึ้น

ความสะอาดจะมาเป็นอันดับแรก

และคนส่วนใหญ่จะอยากไปเที่ยวแค่ที่ใกล้ๆ

 

ไม่น่าเชื่อว่า หลังจากที่ COVID-19 เกิดขึ้น เราก็ค้นพบว่า บางการประชุม ไม่จำเป็นต้องมาพบปะกันแบบต่อหน้าก็ได้ หรือบางการประชุม ไม่จำเป็นต้องประชุมก็ได้ เราปรับตัวและคิดเยอะกว่าแต่ก่อนว่า จำเป็นต้องออกไปเจอใครไหม หรือจำเป็นต้องอยู่ในที่ที่มีคนหลายๆ คนมานั่งอยู่ด้วยกันหรือเปล่า

รวมไปถึงบางคน รวมกระทั่งผมที่รู้สึกกังวลเมื่อต้องออกเดินทาง ยังไม่ต้องถึงขนาดไปเที่ยว แค่ออกไปซื้อของที่ตลาดก็คิดมากแล้ว

ซึ่งการท่องเที่ยวของคนส่วนใหญ่ก็จะเปลี่ยนแปลงไป เราจะสบายใจ เมื่อได้เดินทางด้วยรถยนต์มากกว่ารถประจำทางเพื่อหลีกเลี่ยงการแออัด การเดินทางด้วยรถไฟจะกลายเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่กำลังจะเกิดขึ้นโดยเฉพาะในยุโรป เพราะที่นั่นมีเส้นทางรถไฟที่แทบจะครอบคลุมไปทั้งทวีป ไม่เหมือนฝั่งประเทศสหรัฐอเมริกา ที่การเดินทางส่วนใหญ่อาจจะต้องพึ่งพาเครื่องบินเพราะแต่ละที่ค่อนข้างไกลกันมาก ผู้คนอาจเปลี่ยนพฤติกรรมมาขับรถแทน และเลือกที่จะไปสถานที่ที่สามารถขับรถไปได้ การท่องเที่ยวจึงต้องรองรับรูปแบบการเดินทางที่ไม่ใช่ทางอากาศ ซึ่งการท่องเที่ยวแบบนี้จะทำให้เราใช้เวลาในการเดินทางมากขึ้น แต่คนส่วนใหญ่จะยอมรับมันมากขึ้น เพราะไม่ต้องเสียเวลาในการต่อคิวที่สนามบิน หรือต้องรอถูกตรวจสอบตามมาตรการที่จะเกิดขึ้นอย่างยิบย่อยก่อนที่จะได้ก้าวออกเดินทาง จนความสุขก่อนออกเดินทางนั้นหมดไป

 

 

3. ใบรับรองการฉีดวัคซีน COVID-19

อาจสำคัญพอๆ กับพาสปอร์ต

 

ถ้าสุดท้ายแล้วนักวิทยาศาสตร์สามารถคิดค้นวัคซีนที่สามารถรักษาและป้องกัน COVID-19 ได้ การเดินทางไปทุกที่ทั่วโลกหลังจากนี้ นักท่องเที่ยวอย่างเราๆ อาจจะต้องมีใบรับรองแพทย์ หรือเอกสารสำคัญว่าเราได้รับการฉีดวัคซีนชนิดนั้นแล้ว การันตีว่าเราสะอาด ปลอดภัย ไม่ออกไปแพร่เชื้อให้คนกลุ่มใหญ่แน่นอน แต่ถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้นจริง ลองคิดสภาพของสนามบินแต่ละประเทศ ที่จะต้องต่อคิวยาวเพื่อแสดงเอกสาร แต่ละสนามบินจะต้องออกแบบสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อมาตอบรับสิ่งนี้ และย่นระยะเวลาให้คนอยู่ในสนามบินสั้นลง ไม่อย่างนั้น เราทุกคนได้ต่อแถวรอนานกว่าที่ทุกวันนี้รอตรวจพาสปอร์ตกันอยู่แน่ๆ

 

 

4. เอเจนซี่ท่องเที่ยวทุกรูปแบบ ต้องปรับเปลี่ยน

มาตรการต่างๆ ในการดูแลนักท่องเที่ยว

 

สิ่งที่นักท่องเที่ยวต้องการมากที่สุดหลัง COVID-19 คือวิธีการในการยกเลิกหรือขอคืนเงินที่ง่าย และใช้เวลาน้อยที่สุด ชั่วเวลาที่ยาวนานอย่างที่ผมเล่าไปตอนต้น จะมีการเปลี่ยนแปลงไปเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ซึ่งแต่ละบริษัทจะมีการเปลี่ยนแปลง และทำแพลตฟอร์มที่ง่ายต่อการติดต่อกับลูกค้า และตอบสนองพวกเขาได้ทุกเวลาที่ต้องการ

เมื่อทุกอย่างในโลกหยุดชะงัก การท่องเที่ยวรอบบ้าน รอบห้องนอนตัวเองจึงกำเนิดขึ้น แต่ทุกนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะผม ยังคงเฝ้ารอวันที่เราจะสามารถออกไปไกลได้มากกว่าหมอน ที่นอน ห้องน้ำ ห้องครัว ห้องรับแขก และร้านสะดวกซื้อหน้าปากซอย

แต่การเดินทางจากบ้านไปสู่โลกกว้างหลัง COVID-19 จะมีอยู่จริงไหม จะมี New Normal เกิดขึ้น หรือสุดท้าย มันจะเป็นแค่ Temporary Normal ที่สุดท้ายแล้วมันก็กลับไปเป็น Normal แบบเดิมหรือเปล่า มันไปจบที่ตรงไหน และเมื่อไหร่ จะดีขึ้น หรือจะเลวร้ายไปมากกว่าที่เป็นอยู่ อย่างที่บอกไปว่าไม่มีใครตอบได้ เพราะคำว่า ‘สักระยะ’ ในพจนานุกรมของคนทั้งโลก ระยะเวลามันไม่เท่ากัน

 

นึกแล้วก็เหนื่อยที่จะต้องกลับไปกลั้นหายใจ กลั้นจาม

เวลาขึ้น-ลงลิฟต์ และการนั่งรอค่าตั๋วเครื่องบิน Refund

เข้าบัตรเครดิตทุกวัน ซึ่งมันไม่สนุกเลย

Share This Story !

2.4 min read,Views: 966,

Related projects

  • ¡Hola! Spanish Travelers

    พฤษภาคม 9, 2025

  • ‘เรื่องเล่น’ เรื่องเล็กน้อยมหาศาล

    พฤษภาคม 9, 2025

  • ‘DESERT SUPERCITY’ มหานคร แห่งทะเลทราย

    พฤษภาคม 9, 2025