Femmefluence – เทรนด์ท่องเที่ยวสตรียุคใหม่

แปลและเรียบเรียงโดย บัณฑิต เอนกพูนสินสุข

ที่มา: รายงาน The Future of Female-led Travel: 2025-2030

 

เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงความจริงได้เลยว่า ผู้หญิงมีบทบาทสำคัญเพิ่มมากขึ้นไม่แพ้ผู้ชายในหลายมิติ ทั้งด้านการตัดสินใจ การเป็นที่ยอมรับ และการเป็นผู้นำทางความคิดในเรื่องต่าง ๆ

ภูมิทัศน์ประชากรศาสตร์ในปัจจุบัน แสดงให้เห็นถึงอัตราส่วนประชากรโลกที่เพศหญิงมีอัตราส่วน 2 ใน 3 ของประชากรทั้งหมด ผนวกกับแนวโน้มการยอมรับในสิทธิและความเท่าเทียมทางเพศที่เพิ่มมากขึ้น สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยเกื้อหนุนที่ทำให้ผู้หญิงยุคใหม่เข้ามามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้นในทุก ๆ อุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว 

แนวโน้มพฤติกรรมและรูปแบบเทรนด์การท่องเที่ยวของผู้หญิงในปัจจุบัน ไม่ได้ถูกให้คำนิยามแค่รูปแบบ จำนวน หรือประเภทการเดินทางเพียงรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งอีกต่อไป ผู้หญิงยุคใหม่กำลังเปลี่ยนผ่านและมองหารูปแบบการเดินทางท่องเที่ยวที่มีความคล่องตัวและหลากหลายขึ้น และที่สำคัญคือ บ่อยครั้งที่พวกเขาแทบจะเป็นตัวตั้งตัวตีหรือเป็นคนตัดสินใจออกแบบเส้นทางท่องเที่ยวให้กับทุกคนในครอบครัว 

ในอดีต รูปแบบการท่องเที่ยวของผู้หญิงอาจมีรูปแบบจำเจ แบ่งตามจำนวนคน สถานภาพ ความสนใจ และมักจะทำแบบเดียวแบบเดิม ซ้ำ ๆ ไปมา แต่ในปัจจุบัน ผู้หญิงมีความต้องการที่หลากหลาย และบ่อยครั้งที่ภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งปี พวกเขาสามารถเลือกเดินทางได้หลายรูปแบบ ทั้งไปกับครอบครัว ไปคนเดียว หรือไปกับกลุ่มเพื่อน ซึ่งแน่นอนว่าเบื้องหลังของการเปลี่ยนแปลงคงหนีไม่พ้นอำนาจทางการเงินที่เพิ่มมากขึ้นของพวกเขา  

McKinsey & Co ได้ทำการสำรวจและคาดการณ์ไว้ว่า ภายในปี 2030 ประชากรเพศหญิงในสหรัฐอเมริกาจะเป็นผู้ถือครองทรัพย์สินมูลค่าราว 34 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนกว่า 38% ของความมั่งคั่งที่สามารถลงทุนได้ (Country’s Investable Wealth) ทั้งหมดของประเทศสหรัฐอเมริกา (เติบโตเพิ่มขึ้นจาก 29% ในปี 2014) สัดส่วนความมั่งคั่งของผู้หญิงที่เพิ่มขึ้นมิได้เกิดขึ้นเพียงแค่ในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น แต่เกิดขึ้นทั่วทั้งโลก ซึ่งเป็นผลมาจากศักยภาพในการหารายได้ การประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ การลงทุน หรือแม้แต่ผลพลอยได้จากมรดกตกทอด 

TAT Review ขอต้อนรับทุกคนเข้าสู่ Femmefluence ยุคที่ทางเลือก เสียง และแรงปรารถนาของสตรี มีอิทธิพลต่อเทรนด์การเดินทางท่องเที่ยว มิใช่เพียงแค่ไปที่ไหน แต่ไปอย่างไร และไปเพื่ออะไร ตามมาดูกันว่าเทรนด์ท่องเที่ยวใหม่ของสตรีมีอะไรบ้าง

 

เทรนด์ที่ 1 : New HERizons – เส้นขอบฟ้าที่ฉันกำหนด

“ผู้หญิงกำลังออกเดินทางเพื่อเปิดโลกทัศน์ใหม่ของตนเองในรูปแบบที่มีความกล้าหาญมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางแบบฉายเดี่ยวหรือเดินทางร่วมกับสหายคู่ใจ”

ลืมภาพจำเก่า ๆ กับรูปแบบการเดินทางและการทำกิจกรรมแบบ Play Safe ของสาว ๆ ไปได้เลย นักเดินทางหญิงยุคใหม่กำลังตามหาการผจญภัยและการท่องเที่ยวในรูปแบบที่ท้าทายมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเดินทางคนเดียวหรือเดินทางเป็นกลุ่ม

ข้อมูลสนับสนุน

  • จากผลการสำรวจของ Scott Dunn บริษัทนำเที่ยวสุดหรูสัญชาติอังกฤษพบว่า 58% ของทริปการเดินทางเดี่ยว (Solo Trip) ในปี 2024 ถูกจองโดยผู้หญิง และ 27% ของผู้ตอบแบบสอบถาม วางแผนที่จะเดินทางท่องเที่ยวไม่ต่ำกว่า 3 ทริปในปี 2025
  • Future Partners บริษัททำวิจัยและให้บริการวางกลยุทธ์ด้านการท่องเที่ยวพบว่า 40% ของผู้หญิงต้องการเดินทางท่องเที่ยวคนเดียวในปี 2025 
  • จากฐานข้อมูลของสมาคม Adventure Travel Trade Association พบว่าอัตราส่วนการจองทริปการเดินทางท่องเที่ยวแบบผจญภัยเกินกว่าครึ่งถูกจองโดยผู้หญิง ขณะเดียวกัน Backroads บริษัทนำเที่ยว Active Adventure ชั้นนำของโลกก็ได้คาดการณ์ไว้ว่า การจองทริปผจญภัยของผู้หญิงจะเติบโตเพิ่มขึ้นเป็นสามเท่าในปี 2025

เทรนด์การท่องเที่ยวเปิดโลกทัศน์ใหม่แบบ New HERizons นี้ไม่ได้นิยมเฉพาะในกลุ่มคน Gen Y และ Gen Z เท่านั้น Virtuoso บริษัทระดับโลกสัญชาติอเมริกัน ผู้ให้คำปรึกษาและวางแผนการท่องเที่ยวที่หรูหรา พร้อมมอบประสบการณ์การเดินทางสุดพิเศษ ได้ออกมาเปิดเผยว่า 71% ของลูกค้าที่เดินทางท่องเที่ยวคนเดียวเป็นเพศหญิง และเกือบครึ่งหนึ่งคือ 47% เป็นผู้หญิงที่อยู่ในสถานะหย่าร้าง แยกกันอยู่กับสามี หรือเป็นหม้าย 

ข้อมูลของ Virtuoso แสดงให้เห็นถึงนัยสำคัญว่า “การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของชีวิตมักจุดประกายความปรารถนาในการสำรวจตนเองและออกเดินทางในแบบฉบับที่ตนกำหนด” แรงจูงใจในการเดินทางของนักท่องเที่ยวหญิงกลุ่มนี้เกิดขึ้นจากแรงปรารถนาเบื้องลึก โดย 40% มองหาความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับจุดหมายปลายทาง ในขณะที่ 27% ต้องการที่จะได้ออกไป “สำรวจ” อย่างแท้จริง สอดคล้องกับ Discover Africa ผู้ประกอบการนำเที่ยวออนไลน์ในทวีปแอฟริกา ที่ยืนยันถึงแนวโน้มความต้องการเที่ยวคนเดียวของผู้หญิงที่เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า โดย 70% ของการเดินทางท่องเที่ยวคนเดียวมาจากเพศหญิง 

อย่างไรก็ตาม แม้ว่านักท่องเที่ยวหญิงยุคใหม่จะบู๊และกล้าผจญภัย แต่พวกเขายังคงให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเป็นอย่างมาก สอดคล้องกับผลการสำรวจของบริษัทนำเที่ยว Scott Dunn ที่พบว่า ผู้ตอบแบบสำรวจ 60% เห็นว่าความปลอดภัยเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการเลือกจุดหมายปลายทาง

 

เทรนด์ที่ 2 : Girl Grouping – การรวมกลุ่มของเพื่อนสาว

“การใช้เวลาอยู่ในกลุ่มเพื่อนสาวจะช่วยลดระดับฮอร์โมน Cortisol (ฮอร์โมนความเครียดหลักของร่างกาย) และเพิ่มระดับสารสื่อประสาท Serotonin หรือสารความสุข ขณะเดียวกัน การเข้าสังคมกับกลุ่มเพื่อนของผู้หญิงสูงวัยจะช่วยให้สามารถรับมือกับความเหงาและภาวะซึมเศร้าได้ดียิ่งขึ้น”

“Girl Trip” กำลังถูกเปลี่ยนคำนิยามใหม่ที่ไม่ใช่แค่การหลีกหนีความวุ่นวายเพื่อเติมความสุข หรืองานปาร์ตี้สละโสดในกลุ่มเพื่อนสาว เมื่อปัจจุบันผู้หญิงมีรายได้สำหรับการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นและมีความมั่นใจในวัฒนธรรมและค่านิยมของตนเองมากขึ้น การเดินทางพักผ่อนที่เน้นการไปเที่ยวกับกลุ่มเพื่อนได้ขยายตัวและปรับเปลี่ยน เสมือนเป็นพิธีกรรมอันทรงพลังที่สร้างความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน ชุมชน และธรรมชาติ เติมเต็มความสุขและความผูกพันระยะยาวระหว่างกัน การปรับเปลี่ยนรูปแบบ Girl Trip ที่เกิดขึ้นครอบคลุมนักท่องเที่ยวหญิงทุกช่วงอายุและทุกช่วงเวลาของชีวิต

ข้อมูลสนับสนุน

  • Onefinestay บริษัทให้บริการที่พักสัญชาติอังกฤษรายงานว่า การจองที่พักแบบกลุ่มมีอัตราการเติบโตที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเทรนด์ดังกล่าวถูกขับเคลื่อนโดยกลุ่มนักท่องเที่ยวหญิงวัยทำงานอายุ 30 – 40 ต้น ๆ แต่ในขณะเดียวกันเทรนด์ดังกล่าวก็เติบโตในกลุ่มนักท่องเที่ยวหญิงที่มีอายุสูงกว่านั้น คือตั้งแต่ 50 – 80 ปีด้วย แต่กลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับเวลาและความหรูหราที่มากกว่า
  • การมีปฏิสัมพันธ์หรือได้ใช้เวลาอยู่กับเพื่อน ๆ สามารถช่วยลดระดับฮอร์โมน Cortisol (ฮอร์โมนความเครียด) และช่วยเพิ่มสารสื่อประสาท Serotonin ที่ส่งผลต่อการมีสุขภาพจิตที่ดี
  • งานวิจัยของ UCLA (University of California, Los Angeles) แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มความเป็นจริงที่ว่า การเที่ยวแบบ Girl Grouping ช่วยเสริมสร้างสุขภาพและช่วยยืดอายุขัย

Katie Silcox ผู้เขียนหนังสือ Healthy, Happy, Sexy เจ้าของรางวัล New York Times Best-Selling author ได้กล่าวไว้ว่า “การใช้เวลาสองสามวันเพื่อพักจากกิจวัตรประจำวันเป็นสิ่งที่สำคัญในการรักษามิตรภาพให้สดใสอยู่เสมอ เมื่อเราเติบโตและเมื่อชีวิตมีภาระเพิ่มมากขึ้น”

ทริป Girl Grouping ที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นเพียงแค่ปาร์ตี้พบปะกันเท่านั้น แต่เป็นการผสมผสานการเรียนรู้และความเพลิดเพลินเข้าด้วยกัน ยกตัวอย่างกิจกรรมภายในทริป ได้แก่ การออกกำลังกายแบบพิลาทิส (Pilates) เพื่อการพักผ่อนและฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ (Wellness Retreats) การทัวร์ไร่องุ่นกับซอมเมอลิเยร์ผู้เชี่ยวชาญด้านไวน์ การทำเวิร์กช็อปที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมสุดดื่มด่ำ และประสบการณ์การรับประทานอาหารมิชลิน

Girl Grouping ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อสนับสนุนความสัมพันธ์ในกลุ่มเพื่อนสนิทเท่านั้น แต่เทรนด์นี้ยังช่วยส่งเสริมให้เกิดความสัมพันธ์ใหม่ ๆ ระหว่างผู้คน ไม่ว่าจะเป็นการได้พบปะผู้หญิงที่มีความคิดและความเชื่อคล้าย ๆ กันระหว่างการเดินทาง การได้ร่วมแคมป์ไฟ ร่วมทริปซาฟารี ไปจนถึงการร่วมทำกิจกรรมพักผ่อนและฟื้นฟูจิตใจ (Retreat) สิ่งเหล่านี้ช่วยจุดประกายและเสริมสร้างความเป็นพี่น้องระหว่างสตรีทั่วโลก

 

เทรนด์ที่ 3 : Healing Retreats – พักเพื่อเยียวยา

“สุขภาวะทางปัญญา (Cognitive wellness) เกี่ยวข้องกับการพัฒนาและการเสริมพลังทางด้านอารมณ์และจิตวิญญาณ”

เรากำลังเหน็ดเหนื่อยจากการไล่ตามค่านิยมความสมบูรณ์แบบตามแบบฉบับของความงามจากภายนอกกันอยู่หรือเปล่า ผู้หญิงยุคใหม่โหยหาและให้คุณค่ากับการดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีแบบองค์รวม หรือ Holistic Wellness ที่ให้ความสำคัญกับการเติบโตทั้งทางด้านอารมณ์ จิตวิญญาณ และสติปัญญา 

การพักผ่อนเพื่อทบทวนตัวตนเหล่านี้ส่วนใหญ่ตอบโจทย์ผู้หญิง โดยมุ่งเน้นไปที่การฟื้นฟูอย่างแท้จริง (Real Rejuvenation)

ข้อมูลสนับสนุน

  • จากผลการสำรวจของ BACP (The British Association for Counselling and Psychotherapy สมาคมที่ปรึกษาและจิตบำบัดแห่งสหราชอาณาจักร) พบว่าผู้ใหญ่ในสหราชอาณาจักรมากกว่า 1 ใน 3 (35%) เคยพบผู้ให้คำปรึกษาหรือนักจิตบำบัดอย่างน้อย 1 ครั้งในชีวิต โดย 1 ใน 4 ของผู้ที่เคยพบมีอายุระหว่าง 16-25 ปี และ 1 ใน 3 ได้รับการบำบัดครั้งล่าสุดในช่วงระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา
  • จากผลการสำรวจความคิดเห็นด้านการเดินทางและการท่องเที่ยวของบริษัท YouGov ประจำเดือนมกราคม 2025 พบว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ลงความเห็นว่าการเดินทางเป็นสิ่งที่ “สำคัญและจำเป็นมาก” ต่อสุขภาพจิต ซึ่งนับเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าผู้ชาย และในขณะเดียวกัน ผู้หญิงส่วนใหญ่ยังชอบทำกิจกรรมวันหยุดแบบปลอดแอลกอฮอล์อีกด้วย

จุดหมายปลายทางเชิงสุขภาพและ Wellness ชั้นนำในปัจจุบัน มีการนำเสนอโปรแกรมเพื่อการพักผ่อนเชิงสุขภาพทั้งกายและใจที่แปลกใหม่สำหรับผู้หญิงมากมาย อาทิ โปรแกรมสำหรับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน หรือวัยทอง (Menopause) โปรแกรมเตรียมความพร้อมก่อนมีบุตร โปรแกรม Biohacking (Biohacking คือการใช้การออกกําลังกาย รับประทานอาหารเสริม หรือใช้เทคโนโลยีเข้ามาร่วม เพื่อปรับปรุงร่างกาย อารมณ์ และจิตใจให้ดียิ่งขึ้น) หรือแม้แต่โปรแกรมปลดปล่อยความโกรธ

สำหรับตัวอย่างการให้บริการได้แก่ โรงแรมในเครือ Six Senses ที่มีชื่อเสียงในเรื่องการส่งมอบประสบการณ์การพักผ่อนที่เน้นการเชื่อมโยงสู่ธรรมชาติและส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดี ได้นำเสนอโปรแกรมสุขภาพสำหรับสุภาพสตรีแบบองค์รวม (Female Wellness Program) ที่ประกอบด้วย การดีท็อกซ์ล้างพิษ และการปรับสมดุลฮอร์โมนด้วยพิธีกรรมแห่งความสุข อย่างการอาบป่าด้วยการเดินเท้าเปล่า (Barefoot Forest Bathing)

 

เทรนด์ที่ 4 : Earth Mothering – กลับสู่ธรรมชาติ

“เมื่อแสงจากหน้าจอมือถือส่องสว่างและมีเสียงแจ้งเตือนข้อความ Notification ดังอย่างต่อเนื่อง ผู้ปกครองคงตระหนักและเล็งเห็นว่าการท่องเที่ยวกับครอบครัวเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องเร่งดำเนินการ เพื่อที่จะดึงเด็กออกมาจากหน้าจอและปล่อยให้พวกเขาได้สัมผัสกับธรรมชาติ”

การเดินทางท่องเที่ยวและปล่อยร่างกายและจิตใจไปกับธรรมชาติ เพื่อหลีกหนีจากโลกที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายและสื่อดิจิทัล เป็นสิ่งที่ควรทำสำหรับทุกครอบครัว ปัจจุบันบรรดาแม่ ๆ มีแนวโน้มที่จะพยายามหาวิธีเชื่อมต่อครอบครัวให้กลับเข้าหาธรรมชาติมากยิ่งขึ้น เพื่อสร้างภูมิต้านทานให้ลูก จากโลกที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีในทุกกิจวัตรประจำวัน ที่ทั้งเด็ก วัยรุ่น หรือแม้แต่ผู้ใหญ่เองต่างมองแต่หน้าจอ Smartphone หรือ Tablet เกือบตลอดทั้งวัน 

 

ข้อมูลสนับสนุน

  • จากผลการสำรวจประจำปี 2025 ของ Mumsnet แพลตฟอร์มให้คำปรึกษาและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นสำหรับพ่อแม่พบว่า 60% ของพ่อแม่ชาวสหราชอาณาจักรสนับสนุนแนวคิดการแบน Smartphone ภายในโรงเรียน แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มความกังวลของพ่อแม่ที่กลัวว่าลูก ๆ ของพวกเขาจะติด Smartphone และใช้เวลาบนหน้าจอมากเกินความจำเป็น
  • World Economic Forum ได้ประมาณการไว้ว่าภายในปี 2030 อาชีพที่เกี่ยวข้องกับการใช้ทักษะดิจิทัลที่สามารถทำงานแบบ Remote ได้จะมีมากกว่า 92 ล้านอาชีพทั่วโลก เพิ่มขึ้นกว่า 25% จากปัจจุบัน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริมรูปแบบการท่องเที่ยวแบบลาพักร้อนยาว ๆ กับครอบครัว ไปพร้อม ๆ กับการทำงานแบบระยะไกล หรือ Work-remote Sabbaticals

การท่องเที่ยวกับครอบครัวในยุคใหม่นี้คือส่วนหนึ่งของการทำ Digital Detox ครอบครัวที่นำทีมโดยคุณแม่ กำลังหันมาใช้ชีวิตช่วงวันหยุดเพื่อส่งเสริมกิจกรรมทางร่างกายให้กับลูก การสำรวจ การลงมือทำ พร้อมทั้งสร้างประสบการณ์ออฟไลน์ที่มีความหมายร่วมกับครอบครัว แนวคิดแบบ “กลับสู่ธรรมชาติ” ที่พาเด็ก ๆ ออกไปสัมผัสธรรมชาติ ให้ดินติดเล็บ ให้เกลือทะเลติดเส้นผม และให้อิสระในการเดินเล่นตากลมชิล ๆ กำลังได้รับความนิยม ธุรกิจโรงแรมเองก็ตอบสนองแนวโน้มนี้และได้จัดกิจกรรมสำหรับเด็กที่น่าสนใจ อาทิ ซูลาล เวลเนส รีสอร์ท โดยชีวาศรม (Zulal Wellness Resort by Chiva-Som) ในกาตาร์ ที่นำเสนอ 3 แพ็กเกจ สำหรับเด็กอายุ 9 – 15 ปี คือ “Digital Detox” แพ็กเกจที่มุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีอย่างมีสติ “Fit 4 Life” แพ็กเกจกิจกรรมส่งเสริมการออกกำลังกาย และ “Thrive” แพ็กเกจกิจกรรมพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ 

 

เทรนด์ที่ 5 : Souvenir Scouting – ของที่ระลึกโดยชุมชน 

“เป็นการสัมผัสถึงแก่นแท้ของจุดหมายปลายทางผ่านงานฝีมือของช่างท้องถิ่น รักษาความผูกพันที่มีความหมายระหว่างผู้คน และสนับสนุนวิถีการดำรงชีวิตแบบดั้งเดิมของคนในชุมชนที่ได้เดินทางไปเยือน”

การเพิ่มขึ้นของการบริโภคอย่างมีจิตสำนึกกำลังหล่อหลอมพฤติกรรมการค้นหาและจับจ่ายซื้อของที่ระลึกระหว่างการเดินทาง นักท่องเที่ยวหญิงยุคใหม่แสวงหาของที่ระลึกที่มีความ Authentic ผลิตอย่างมีจริยธรรม และที่สำคัญต้องเป็นของชุมชนอย่างแท้จริง

เทรนด์ Souvenir Scouting หรือการแสวงหาของที่ระลึกที่เป็นของชุมชนอย่างแท้จริง สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของนักท่องเที่ยวหญิงที่กำลังต่อต้านรูปแบบการค้าปลีกในยุคโลกาภิวัตน์ที่ขับเคลื่อนด้วยอัลกอริทึมหลอกลวงนักท่องเที่ยว เช่น ร้านของฝากราคาถูกที่เจ้าของเป็นคนจีนแต่แอบมาขายในชุมชนท่องเที่ยวไทยและหลอกว่าเป็นของจากชุมชน นักท่องเที่ยวหญิงยุคใหม่เลือกที่จะซื้อสินค้าหรือของฝากที่มีความหมาย มีความเป็น Authentic จากชุมชนที่พวกเขาเดินทางไปเยี่ยมเยือน โดยคาดหวังให้เกิดการสนับสนุนชุมชนอย่างแท้จริง พวกเขาไม่ได้เลือกซื้อของที่ระลึกเพียงเพราะราคาถูก แต่พวกเขาจะเลือกและแสวงหาสิ่งของที่มีเรื่องเล่า สิ่งของที่เชื่อมโยงพวกเขากับวัฒนธรรมท้องถิ่น และเป็นสินค้าที่ผลิตโดยคนท้องถิ่น

 

ข้อมูลสนับสนุน

  • มีการคาดการณ์ว่าตลาดของขวัญและของที่ระลึกทั่วโลกจะเติบโตสูงถึง 20.32 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) 4.6% ภายในปี 2029
  • จากรายงานของกระทรวงการคลังออสเตรเลีย หรือ Australian Government Productivity Commission ประจำปี 2022 พบว่า ของที่ระลึกที่มีฉลากระบุว่าผลิตโดยชุมชนพื้นเมือง หรือ ” Indigenous” ที่วางจำหน่ายในออสเตรเลียสูงถึง 75% เป็นของปลอม โดยเมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นของที่ผลิตจากประเทศอินโดนีเซีย ขณะเดียวกัน กางเกงช้างของประเทศไทยที่ขายอยู่ตามท้องตลาดกว่า 70% ก็ถูกนำเข้ามาจากต่างประเทศ
  • จากข้อมูลการสำรวจของบริษัท Booking.com ประจำเดือนเมษายน 2025 พบว่า 73% ของนักท่องเที่ยวต้องการให้การใช้จ่ายของพวกเขาสร้างประโยชน์ให้กับชุมชน โดย 2 ใน 3 หรือ 69% ต้องการให้ทริปการเดินทางของพวกเขาสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อจุดหมายปลายทาง โดยจุดหมายปลายทางจะต้องดีขึ้นเมื่อพวกเขาเดินทางกลับจากสถานที่นั้น ๆ

ตัวอย่างการให้บริการที่ตอบโจทย์แนวโน้มนี้

  • มูลนิธิ Eve Branson Foundation ศูนย์กลางสอนงานฝีมือให้แก่ชนพื้นเมืองชาวเบอร์เบอร์ (Berber) ที่อาศัยอยู่ในเทือกเขาไฮแอตลาส ในโมร็อกโก (Morocco’s High Atlas Mountains) แบ่งรายได้ 40% ของสินค้า/ของที่ระลึกแต่ละชิ้นที่ขายได้ให้กับช่างฝีมือที่เป็นผู้สร้างสรรค์สินค้าชิ้นนั้น ๆ 
  • ธุรกิจโรงแรมก็จับกระแสเทรนด์นี้เช่นเดียวกัน โรงแรมบูติกหลายแห่งเริ่มคัดสรรผลิตภัณฑ์จากช่างฝีมือท้องถิ่นมาขายหรือจัดแสดงภายในโรงแรม เช่น อัญมณีที่ผลิตโดยชุมชนจากการแสดง Nairobi Fashion Week ซึ่งได้รับการคัดสรรอย่างพิถีพิถันโดยเจ้าของโรงแรม ก็สามารถจับจองและเป็นเจ้าของได้ที่โรงแรม Alfajiri Villas ในเคนยา ในขณะที่โรงแรม Segera Retreat มีการจำหน่ายเครื่องประดับลูกปัดลายชนเผ่าโบราณ (Ancestral beadwork) ที่ทำโดยสตรีที่ได้รับการส่งเสริมศักยภาพการทำงานฝีมือในเคนยา ภายใต้โครงการ SATUBO Beading โดยมูลนิธิ ZEITZ

Share This Story !

3.9 min read,Views: 938,

Related projects

  • ¡Hola! Spanish Travelers

    พฤศจิกายน 7, 2025

  • ‘เรื่องเล่น’ เรื่องเล็กน้อยมหาศาล

    พฤศจิกายน 7, 2025

  • ‘DESERT SUPERCITY’ มหานคร แห่งทะเลทราย

    พฤศจิกายน 7, 2025