จาก นอเทรอดาม แห่งปารีส ถึง พระที่นั่งจักรี

To repair the Chakri Maha Prasat Throne Hall and the Notre Dame Cathedral, what should be the best solution, to restore as it used to be or build a better new one? Because trial and error as the way we have practiced may not be the real answer, but probably is a valuable lesson for people in society and the architecture field. 

ภายหลังเหตุการณ์ไฟไหม้อาสนวิหารนอเทรอดามแห่งปารีสเมื่อเดือนเมษายน ที่ผ่านมา เกิดคำถามสำคัญขึ้นในวงการ อนุรักษ์นานาชาติว่า ควรจะซ่อมยอดแหลมที่เสียหายนั้นให้กลับคืนเหมือนเดิม หรือควรสร้างขึ้นใหม่ตามเงื่อนไขและความต้องการในปัจจุบันดี (ดู TAT Review, Vol. 5 No. 3 July-September 2019: 58-63) 

ตัวอย่างเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ในประเทศไทยที่มีความใกล้เคียง และผมอยากนำมาเล่าให้ฟังในที่นี้ คือการซ่อมแซมยอดพระที่นั่งจักรี มหาปราสาทในสมัยรัชกาลที่ 7 เพราะไม่เพียงแต่เป็นกรณีที่ประสบเหตุ จนต้องสร้างยอดหลังคาขึ้นมาใหม่เช่นกัน (แม้สาเหตุจะไม่รุนแรงเท่า นอเทรอดามฯ ก็ตาม) แต่การเสนอทางออกในการบูรณะซ่อมแซมยอดพระที่นั่งจักรีฯ กลับขึ้นมาใหม่นั้น ยังเป็นตัวอย่างให้เราสามารถเปรียบเทียบกับกรณีที่เพิ่งเกิดขึ้นในฝรั่งเศสได้อย่างดี 

พระที่นั่งจักรีมหาปราสาทเริ่มสร้างขึ้นใน พ.ศ. 2419 และแล้วเสร็จในอีก 6 ปีถัดมาเมื่อ พ.ศ. 2425 เดิมพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชประสงค์จะสร้างพระที่นั่งหลังใหม่นี้ขึ้นเป็นแบบตะวันตกทั้งหมด แต่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ได้กราบ บังคมทูลทักท้วงว่า “การสร้างตึกฝรั่งประทับเป็นการลบล้างโบราณราชประเพณี” พระองค์จึงทรงมีรับสั่งให้พระยาราชสงคราม (ทัต หงสกุล) ทำหลังคาเครื่องยอดปราสาทแบบไทยขึ้นครอบส่วนที่จะทำเป็นหลังคา ทรงโดมแบบตะวันตกนั้นแทน และด้วยลักษณะตัดแปะของการนำหลังคา ยอดปราสาทแบบไทยมาครอบลงบนตึกแบบตะวันตก คงไม่มีวลีใด จะแสดงออกถึงความเป็น ‘ลูกครึ่ง’ ได้ดีไปกว่าคำอุทานที่เจ้าพระยามหินทรศักดิ์ (เพ็ง เพ็ญกุล) เปล่งออกมาเมื่อแรกเห็นพระที่นั่งใหม่องค์นี้ว่า “ฝรั่งใส่ชฎา” (Fig. 1−3) 

 

fig 1

Fig 1. พระบรมมหาราชวัง ราว พ.ศ. 2418-2420 ถ่ายโดยช่างภาพชาวอิตาเลียน Odoardo Beccari (1843-1920) สังเกตพระที่นั่งจักรีฯ กำลังก่อสร้างถึงผนังชั้นสาม ที่มา: thaimeme, Looking across to Tiap Taa Raat Royal Pier, เข้าถึงเมื่อ 23 มีนาคม 2562

Fig 2. พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท สมัยรัชกาลที่ 5 ที่มา : ภ.0155—เมาท์ 42, หอจดหมายเหตุแห่งชาติ.

Fig 3. ยอดพระที่นั่งจักรีฯ องค์กลางที่ออกแบบโดยพระยาราชสงคราม (ทัต หงสกุล)

 

คนที่มีความสนใจในประวัติศาสตร์อยู่บ้างย่อมรู้จักความเป็นมาของพระที่นั่งลูกผสมนี้ดี แต่ที่ไม่ค่อยเป็นที่รับรู้กันคือ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาทแบบ 3 ยอดที่เราเห็นในทุกวันนี้ แม้จะยังคงรูปลักษณะของหลังคายอดปราสาทตามแบบเดิม แต่ไม่ใช่ยอดเดียวกับที่สร้างขึ้นโด พระยาราชสงครามในสมัยรัชกาลที่ 5 แท้จริงแล้วเป็นผลจากการซ่อมแซมในช่วง พ.ศ. 2469−2475 เมื่อไม่เกิน 100 ปีที่ผ่านมานี้ โดยทีมนายช่างจากศิลปากรสถานแห่งราชบัณฑิตยสภา ซึ่งประกอบด้วยสถาปนิกวิศวกร ชาวต่างประเทศ และนายช่างไทย ภายใต้การกำกับของสมเด็จฯ เจ้าฟ้า กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ (บางคนในกลุ่มนี้ต่อมามีชื่อเสียงในแวดวง สถาปัตยกรรม ไม่ว่าจะเป็น หม่อมเจ้าอิทธิเทพสรรค์ กฤดากร หนึ่งใน ผู้ก่อตั้งสมาคมสถาปนิกสยาม และพระพรหมพิจิตร (อู๋ ลาภานนท์) คณบดีคนแรกของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร) 

การซ่อมแซมพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทในครั้งนั้นถือเป็นหนึ่งในบรรดา โครงการทางสถาปัตยกรรมที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงมีพระราชดำริให้ปรับปรุงและสร้างขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการซ่อมแซมพระที่นั่งอนันตสมาคม การก่อสร้างศาลาเฉลิมกรุง และการสร้างพระปฐมราชานุสรณ์และสะพานพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เนื่่องในโอกาสกรุงเทพมหานครครบ 150 ปี และเช่นเดียวกับโครงการอื่่นๆ ทั้งหลายที่กล่าวมานั้น การซ่อมแซมพระที่นั่งจักรีฯ เป็นตัวอย่างของงานสถาปัตยกรรมช่วงก่อนสมัยการเปลี่ยนแปลง การปกครองที่แสดงให้เห็นการเริ่มเข้าสู่ ‘ความเป็นสมัยใหม่’ ทางสถาปัตยกรรมอย่างชัดเจน ซึ่งหนึ่งในความเป็นสมัยใหม่ของ พระที่นั่งจักรีฯ ที่น่าสนใจที่สุดคือการแก้ไขปัญหาทางโครงสร้าง (Fig. 4) 

Fig 4. การตั้งนั่งร้านเพื่อซ่อมแซมพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทองค์ตะวันออก ถ่ายเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2472
ที่มา: ภ. 003 หวญ 33/7/15, หอจดหมายเหตุแห่งชาติ.

สาเหตุเบื้องต้นของการซ่อมแซมพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทในครั้งนั้น มาจากหลังคาพระที่นั่งฯ รั่ว เนื่องจากโครงสร้างหลังคาที่ทำไว้ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ไม่มั่นคงแข็งแรงพอ และว่ากันตามจริงแล้ว นี่คือเหตุผลสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหาเรื้อรังกับพระที่นั่งองค์นี้มาโดยตลอด เพราะปรากฏหลักฐานว่าภายในเวลาไม่ถึง 10 ปี หลังการก่อสร้างแล้วเสร็จ (พ.ศ. 2434) ยอดพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทองค์ตะวันตกก็หักโค่นลงมา และหลังจากนั้น อีก 7 ปีถัดมา (พ.ศ. 2441) ยอดพระที่นั่งก็เสียหายจนต้องรื้อลงมาทำใหม่ทั้งหมด เพราะถูกพายุฝนพัดกระหน่ำความเสียหายบ่อยครั้งที่เกิดขึ้นกับยอดปราสาทพระที่นั่งจักรีฯ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความไม่เชี่ยวชาญ ในการสร้างอาคารสูงของช่างไทย ดังจะเห็นได้ว่าแม้ความเสียหายทุกครั้ง จะได้รับการแก้ไขอย่างสุดความสามารถ แต่ก็เป็นไปแบบลองผิดลองถูก มากกว่าจะเป็นการแก้ไขที่เข้าใจในปัญหาอย่างแท้จริง 

อันที่จริงแล้ว เครื่องยอดขนาดใหญ่อย่างพระที่นั่งจักรีฯ เป็นโครงสร้างที่จะต้องมีประสิทธิภาพในการต้านทานแรงกระทำทางด้านข้าง (Lateral Force) ที่เกิดจากลมกรรโชกได้เป็นอย่างดี ถึงจะตั้งอยู่ได้อย่างมั่นคงถาวร แต่ความเข้าใจที่จะออกแบบเพื่อแก้ไขปัญหาทางโครงสร้างอย่างถูกหลักวิศวกรรมนั้นเป็นศาสตร์ที่บรรดาช่างไทยไม่รู้จักกันมาก่อนจนกระทั่งล่วงมาถึงในสมัยรัชกาลที่ 7 

การตรวจสอบโครงสร้างโดยวิศวกรชาวอิตาเลียนแห่งศิลปากรสถาน เอ็ม กัลเลตตี (M Galletti) พบว่าสาเหตุที่แท้จริงของความล้มเหลว ทางโครงสร้างของยอดพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทนั้นมาจากการใช้ไม้ ขนาดเล็กในการทำโครงสร้างหลังคา ทำให้โครงสร้างเกิดการแอ่นตัว จนเป็นผลให้กระเบื้องหลังคาเคลื่อนออกจากตำแหน่ง น้ำฝนจึงรั่วเข้ามาภายในพระที่นั่งฯ ได้

นอกจากนี้การตรวจสอบยังพบด้วยว่าการซ่อมแซม ที่ผ่านมาในสมัยหลังยังเป็นการต่อเติมเสริมความแข็งแรงอย่างสับสน ไร้ระบบ จนทำให้โครงสร้างโดยรวมหนักขึ้น ซึ่งยิ่งซ้ำเติมโครงสร้างที่ค่อนข้าง ‘บอบบาง’ อยู่แล้วให้อ่อนแอลงไปอีก ด้วยเหตุดังนั้น เป้าหมายของการซ่อมแซมยอดปราสาทในครั้งนี้จึงเป็นไปเพื่อสร้างระบบทาง โครงสร้างให้กับยอดหลังคาพระที่นั่งฯ เสียใหม่ ที่ทั้งจะต้องเบาและ มีประสิทธิภาพในการรับน้ำหนักที่ดีกว่าเดิม ซึ่งตรงนี้เองที่ทักษะ ความเชี่ยวชาญของกัลเลตตีได้เข้ามาเติมเต็มในสิ่งที่นายช่างสยามไม่รู้จักกันมาก่อน 

สำหรับกัลเลตตีนั้นจนถึงปัจจุบันแล้วเรารู้จักเขาน้อยมาก เรื่องราวของกัลเลตตียังไม่เคยมีนักวิชาการคนใดศึกษาอย่างจริงจัง ทราบแต่เพียงว่า กัลเลตตีเคยรับราชการในสังกัดกรมศิลปากรในสมัยรัชกาลที่ 6 ก่อนโอนย้ายมาบรรจุแผนกศิลปากรสถานราชบัณฑิตยสภา ในตำแหน่งครูวิศวกร หน้าที่หลักของเขาคือการตรวจสอบความแข็งแรงและออกแบบ การซ่อมแซมทางโครงสร้าง ตลอดจนกำกับตรวจสอบงานก่อสร้าง ทางสถาปัตยกรรมต่างๆ ที่อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของศิลปากรสถานให้เป็นไปตามแบบ เช่น การซ่อมแซมพระที่นั่งอัมพรสถาน การซ่อมแซมประตูในพระบรมมหาราชวัง ก็ล้วนแต่ผ่านการออกแบบกำกับดูแลเรื่องโครงสร้างโดยกัลเลตตีมาด้วยกันทั้งสิ้น แต่คงไม่มีงานชิ้นใดในสยามที่เขาจะได้ฝากฝีไม้ลายไม้ไว้อย่างเต็มที่ไปกว่าพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท 

แบบสถาปัตยกรรมที่ผลิตขึ้นโดยศิลปากรสถาน ราชบัณฑิตยสภา เพื่อใช้ในการซ่อมแซมยอดพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทคือเครื่องยืนยันความสามารถของกัลเลตตีในการแก้ไขความอ่อนแอของโครงสร้าง หลังคาไม้ที่ทำขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้เป็นอย่างดี เครื่องยอดของไทย แต่เดิมนั้นมีระบบโครงสร้างเป็นแบบ ‘เสาตะม่อ−แปตาราง’ ซึ่งหมายถึง การตั้งเสา (ซึ่งเป็นองค์ประกอบทางตั้ง) บน แป (องค์ประกอบทางนอน) ซ้อนขึ้นไปเป็นชั้นๆ เพื่อทำหน้าที่ถ่ายน้ำหนักจากหลังคาลงมาที่อาคารเบื้องล่าง แต่โครงสร้างแบบที่กัลเลตตีคิดค้นขึ้นสำหรับพระที่นั่งจักรีฯ เป็นระบบที่ได้เปลี่ยนแปลงวิธีการถ่ายน้ำหนักดังกล่าวไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งสังเกตได้ใน 2 ประการ


ประการแรก

กัลเลตตีได้ปรับเปลี่ยนจากระบบ ‘เสาตะม่อ-แปตาราง’ ในแบบเดิม มาให้ความสำคัญกับ ‘โครงสร้างเสาและไม้กันเซชุดแกนกลาง’ แทน โดยโครงสร้างชุดแกนกลางนี้ประกอบด้วยเสา 8 ต้น และไม้กันเซ 8 อัน มีลักษณะคล้ายๆ กับค้ำยันที่ทำหน้าที่พยุงเสาให้เกิดความมั่นคงแข็งแรง ตั้งขึ้นเพื่อไปรับน้ำหนัก ‘โครงสร้างเหล็ก’ ของยอดพระที่นั่งฯ อีกต่อหนึ่ง 


ประการที่สอง 

กัลเลตตีใช้องค์ประกอบ ‘คานยื่นประกับและค้ำยัน’ เพื่อรับน้ำหนักแปตารางในแต่ละชั้น โดยทำเป็นคานยื่นจาก ‘โครงสร้างชุดแกนกลาง’ ประกบกับไม้กันเซ จากนั้นจึงเสริมความแข็งแรงในการรับชั้นหลังคาแต่ละชั้นด้วยการตั้งค้ำยันขึ้นจากโครงไม้กันเซไปรับชุดแปตารางแต่ละชั้น คานยื่นและค้ำยันที่ทำขึ้นลดหลั่นตามลักษณะการซ้อนชั้นหลังคาของส่วนยอดดังกล่าวนี้ยังช่วยเสริมความมั่นคงให้กับโครงสร้างชุดแกนกลางอีกต่อหนึ่งด้วย

การทำงานร่วมกันระหว่าง ‘โครงสร้างเสาและไม้กันเซชุดแกนกลาง’ และ ‘คานยื่นประกับ-ค้ำยัน’ (ดังแสดงให้เห็นในหุ่นจำลองโครงสร้างยอดพระที่นั่งจักรีองค์ตะวันออกที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร จัดทำขึ้นเพื่อจัดแสดงในนิทรรศการ ‘การซ่อมแปลงพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทและซุ้มประตูในพระบรมมหาราชวัง พ.ศ. 2469-2479’ ณ สมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมถ์ สาขาล้านนา ระหว่างวันที่ 22 ตุลาคม-23 พฤศจิกายน 2561 ที่ผ่านมา) ก่อให้เกิดการสร้างสมดุลทางโครงสร้างในลักษณะที่ไม่ต่างไปจากการระบบ buttress ของสถาปัตยกรรมตะวันตกยุคกลาง ซึ่งมิเพียงแต่จะใช้องค์ประกอบจำนวนน้อยกว่า (แล้วด้วยเหตุนี้จึงทำให้โครงสร้างโดยรวมเบาขึ้น) 

หากยังมีประสิทธิภาพในการต้านทานแรงกระทำทางด้านข้างได้ดีกว่าระบบ ‘เสาตะม่อ−แปตาราง’ ของไทยแบบเดิม เป็นอย่างมาก (Fig. 5−7)

Fig 5. หุ่นจำลองยอดพระที่นั่งจักรีฯ องค์ตะวันออกแสดงโครงสร้างหลังคาจัตุรมุข และส่วนยอดปราสาทที่เป็นโครงสร้างไม้แบบค้ำยันรองรับโครงเหล็กถักตั้งแต่ชั้นองค์ระฆังขึ้นไป

Fig 6. หุ่นจำลองยอดพระที่นั่งจักรีฯ องค์ตะวันออก ที่สร้างขึ้นตามแบบของศิลปากรสถานแสดงโครงสร้างหลังคาจัตุรมุขและยอดปราสาท ที่เป็นระบบการถ่ายน้ำหนักแบบค้ำยัน ไม่ต่างไปจากค้ำยันในงานสถาปัตยกรรมตะวันตกสมัยกลาง

Fig 7. พระที่นั่งจักรีมหาปราสาทภายหลังการซ่อมแปลง สังเกตยอดพระที่นั่งฯ ที่ได้รับการออกแบบขึ้นใหม่ มีลักษณะที่รับกับอาคารตึก 3 ชั้นแบบตะวันตกมากขึ้น | ที่มา: ภ.0756 ภ.002 สบ.2 1-3, หอจดหมายเหตุแห่งชาติ.

น่าเสียดายที่นวัตกรรมโครงสร้างถ่ายน้ำหนักแบบค้ำยัน ‘ฝรั่ง’ ที่สอดรับกับลักษณะลดหลั่นของชั้นหลังคายอดปราสาทแบบไทยอย่างน่าทึ่งเช่นนี้ ในปัจจุบันยังไม่มีการนำไปพัฒนาต่อยอดแต่ประการใด งานออกแบบเครื่องยอดในสมัยหลังอย่างพระเมรุมาศของรัชกาลที่ 8 ใน พ.ศ. 2493 ก็ยังคงใช้ระบบโครงสร้างในแบบเดิม หรือมณฑปพระพุทธบาท สระบุรี ใน พ.ศ. 2476 ที่ได้รับการบูรณะซ่อมแซมขึ้นภายใต้แนวความคิดที่คล้ายคลึงกันกับการซ่อมแปลงพระที่นั่งจักรีฯ และเกิดขึ้นภายหลังการซ่อมแซมพระที่นั่งจักรีฯ เสร็จเพียงแค่ปีเดียว ก็เป็นเพียงการเปลี่ยนโครงสร้างจากเครื่องยอดไม้ไปเป็นเครื่องคอนกรีตทั้งหมดแทน หาได้เป็นการพัฒนาต่อยอดจากระบบโครงสร้างเครื่องยอดไม้ที่กัลเลตตีได้เคยฝากฝีมือไว้ไม่

ย้อนกลับไปยังประเด็นที่เกริ่นไว้ตอนต้นบทความ ว่าเราสามารถเรียนรู้อะไรจากการเปรียบเทียบการซ่อมแซมพระที่นั่งจักรีฯ ในสมัยรัชกาลที่ 7 กับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับนอเทรอดามแห่งปารีสได้บ้าง สิ่งนั้นคือมีความเป็นไปได้เสมอที่จะสร้างสิ่งใหม่ที่ดีกว่าเก่า หากมีความเข้าใจในปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่อย่างแท้จริง ในทัศนะของผมแล้วปัญหาของนอเทรอดามฯ จึงไม่ใช่เรื่องที่จะต้องทำให้เหมือนเดิมทุกกระเบียดหรือทำให้ดูใหม่สมสมัยในปัจจุบัน แต่คือความเข้าใจในเงื่อนไขทางประวัติศาสตร์ของนอเทรอดามซึ่งจะช่วยให้เราตีความได้ว่าการซ่อมแซมในครั้งนี้ควรจะต้องทำอย่างไรกับมัน และนี่คือประเด็นที่ผมคิดว่าพระที่นั่งจักรีฯ ได้ให้บทเรียนที่มีคุณค่าไว้กับเรา

Share This Story !

2.4 min read,Views: 3530,

Related projects

  • ¡Hola! Spanish Travelers

    มิถุนายน 19, 2025

  • ‘เรื่องเล่น’ เรื่องเล็กน้อยมหาศาล

    มิถุนายน 19, 2025

  • ‘DESERT SUPERCITY’ มหานคร แห่งทะเลทราย

    มิถุนายน 19, 2025