
สถานการณ์ท่องเที่ยวตลาดต่างประเทศ (เดือนกรกฎาคม-กันยายน 2568)
จัดทำโดย งานวิเคราะห์ตลาดต่างประเทศ กองกลยุทธ์การตลาด ททท. วันที่ 25 กันยายน 2568
ภาพรวมสถานการณ์ท่องเที่ยวตลาดต่างประเทศ เดือนกรกฎาคม-กันยายน 2568

สถานการณ์การเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยระหว่างเดือนกรกฎาคม-กันยายน 2568 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวน 7.48 ล้านคน ลดลงร้อยละ 13 และสร้างรายได้ทางการท่องเที่ยวประมาณ 3.32 แสนล้านบาท ลดลงร้อยละ 12 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2567 โดยจำนวนและรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ สามารถฟื้นตัวกลับมาร้อยละ 77 และร้อยละ 70 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับจำนวนและรายได้ที่ไทยเคยได้รับในช่วงเดียวกันของปี 2562
สรุปสถานการณ์แต่ละภูมิภาคดังนี้
ภูมิภาคอาเซียน

ภาพรวมภูมิภาคอาเซียน ทั้งด้านจำนวนและรายได้มีอัตราลดลง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2567 โดยสามารถแบ่งกลุ่มตลาดได้ดังนี้
- ตลาดที่มีการเติบโตดี ได้แก่ ฟิลิปปินส์ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 9) และเมียนมา (เพิ่มขึ้นร้อยละ 18) โดย ททท. จัดแคมเปญร่วมกับ Agoda มุ่งเป้าไปที่นักท่องเที่ยวชาวฟิลิปปินส์กลุ่ม Revisit นำเสนอโรงแรมในราคาพิเศษ แพ็กเกจทัวร์ที่ปรับแต่งได้ และโปรโมตสถานที่ท่องเที่ยวที่นอกเหนือจากกรุงเทพฯ เพื่อกระตุ้นให้ผู้ที่เคยมาเยือนแล้วได้ค้นพบแหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลายของประเทศไทยในแต่ละภูมิภาค ต่อยอดด้วยการจัดกิจกรรมแบบ B2B (ธุรกิจกับธุรกิจ) อย่างต่อเนื่อง การจัดโปรโมชันที่ตรงกลุ่มเป้าหมาย และการร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับสายการบินและอินฟลูเอนเซอร์ เพื่อรักษาและเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวให้เติบโต รวมทั้งจำนวนที่นั่งโดยสารเครื่องบินจากฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 14 หรือมีที่นั่งโดยสารเครื่องบินในช่วงเดือนกรกฎาคม-กันยายน 2568 จำนวน 272,443 ที่นั่ง และมีที่นั่งโดยสารเครื่องบินสูงกว่าปี 2562 ร้อยละ 31
- ตลาดที่มีการหดตัวลง ได้แก่ กัมพูชา (ลดลงร้อยละ 85) เวียดนาม (ลดลงร้อยละ 50) ลาว (ลดลงร้อยละ 30) อินโดนีเซีย (ลดลงร้อยละ 22) บรูไน (ลดลงร้อยละ 19) สิงคโปร์ (ลดลงร้อยละ 12) และมาเลเซีย (ลดลงร้อยละ 6) มีอัตราลดลงจากเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างไทยและกัมพูชาที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนกรกฏาคม-สิงหาคม 2568 ส่งผลต่อการยกระดับการเตือนภัยในการเดินทางท่องเที่ยวไทยบริเวณชายแดนไทยในจังหวัดบุรีรัมย์ ศรีสะเกษ สุรินทร์ และอุบลราชธานี รวมทั้งพื้นที่ประกาศกฎอัยการศึกชั่วคราวในจังหวัดจันทบุรีและตราด และภาพลักษณ์ความไม่ปลอดภัยต่อการเดินทาง โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความอ่อนไหว กลุ่มครอบครัวที่นิยมเดินทางในช่วงปิดภาคเรียน
ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ

ภาพรวมภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ เผชิญปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการหดตัว ได้แก่ จีน (ลดลงร้อยละ 38) ฮ่องกง (ลดลงร้อยละ 32) เกาหลีใต้ (ลดลงร้อยละ 15) และไต้หวัน (ลดลงร้อยละ 10) จากประเด็นภาพลักษณ์ความไม่ปลอดภัย รวมถึงเหตุการณ์ปะทะระหว่างไทยและกัมพูชา ทำให้การปรับภาพลักษณ์ในด้านความปลอดภัยของประเทศไทยมีความท้าทายมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ททท. มุ่งเน้นการนำเสนอภาพลักษณ์ประเทศไทยให้เป็น Hub of Education ดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มครอบครัวร่วมกิจกรรมช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อนกับ Environmental Education Centre (EECTHAILAND) ที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา เพื่อเป็นการสร้างภาพลักษณ์ประเทศไทยในการเป็นแหล่งเรียนรู้ทางธรรมชาติที่มีความหลากหลาย รวมทั้งการทำตลาดที่มุ่งเน้นไปยังกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีการใช้จ่ายสูง จากการนำคณะผู้แทนจากสื่อมวลชนจีน อาทิ Influencer, Journalist จากนิตยสารท่องเที่ยว โดยสารบนเครื่องบินเช่าเหมาลำ และบริษัทนำเที่ยวกลุ่ม Luxury Travel Agent เข้าร่วมสัมผัสประสบการณ์ตรง และนำข้อมูลไปต่อยอดการส่งเสริมการขายในตลาดนักท่องเที่ยวจีนระดับ High-End ในขณะที่ตลาดญี่ปุ่น (เพิ่มขึ้นร้อยละ 3) มีปัจจัยบวกจากการปิดเทอมฤดูร้อนและเทศกาลโอบ้ง (เทศกาลเชงเม้งของญี่ปุ่น) ในช่วงเดือนสิงหาคมซึ่งมีช่วงวันหยุดยาวประมาณ 10 วัน และไทยติดอันดับ 1-2 ของจุดหมายปลายทางที่คนญี่ปุ่นตั้งใจเดินทางไปท่องเที่ยว
ภูมิภาคยุโรป (รวมอิสราเอล)

ภาพรวมภูมิภาคยุโรป เป็นตลาดระยะไกลที่มีอัตราการเติบโตดีทั้งด้านจำนวนและรายได้ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา โดยแบ่งกลุ่มตลาดได้ ดังนี้
- ตลาดที่มีการเติบโตมากกว่าร้อยละ 10 ได้แก่ อิสราเอล (เพิ่มขึ้นร้อยละ 57) เยอรมนี (เพิ่มขึ้นร้อยละ 20) ยุโรปตะวันออกและเบลเยียม (เพิ่มขึ้นร้อยละ 12) และฝรั่งเศส (เพิ่มขึ้นร้อยละ 11)
- ตลาดที่มีการเติบโตร้อยละ 2 – 7 ได้แก่ เนเธอร์แลนด์ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 7) สวิตเซอร์แลนด์ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 6) อิตาลี สวีเดน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 5) ออสเตรีย (เพิ่มขึ้นร้อยละ 4) สหราชอาณาจักร (เพิ่มขึ้นร้อยละ 3) และสเปน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 2)
- ตลาดที่มีการหดตัว ได้แก่ รัสเซีย (ลดลงร้อยละ 0.0) ฟินแลนด์ (ลดลงร้อยละ 0.5) และนอร์เวย์ (ลดลงร้อยละ 13)
ปัจจัยสนับสนุนการเดินทาง
- นักท่องเที่ยวกลุ่มครอบครัวนิยมเดินทางพักผ่อนวันหยุด/ปิดภาคเรียนฤดูร้อน (Summer Holidays) โดยประเทศไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายท่องเที่ยวยอดนิยมในเอเชีย โดยเฉพาะตลาดสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ เยอรมนี อิสราเอล ยุโรปใต้ (สเปน อิตาลี)
- เกาะสมุย ประเทศไทย ติดอันดับเกาะที่ดีที่สุดสำหรับการพักผ่อนหรูหราในราคาที่เข้าถึงได้ (Affordable Luxury) โดยรวบรวมเกาะยอดนิยมทั่วโลกสำหรับนักท่องเที่ยวที่มีความสนใจหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการอาบแดด เล่นเซิร์ฟ หรือชิมอาหารท้องถิ่น (ที่มาข้อมูลจาก Expedia Island Hot List 2025)
- จำนวนที่นั่งโดยสารเครื่องบินจากภูมิภาคยุโรปเข้าไทย เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปี 2567 หรือมีจำนวนที่นั่งรวม 9.9 แสนที่นั่ง โดยหลายประเทศในยุโรปเพิ่มเที่ยวบินตรงเข้าไทย อาทิ
- เปิดเส้นทางบินใหม่ อาทิ สายการบิน Unilode Aviation Solutions เส้นทางอุซเบกิสถาน-กรุงเทพฯ
- สายการบิน Condor เส้นทางแฟรงก์เฟิร์ต-กรุงเทพฯ และภูเก็ต
- สายการบิน Pegas Fly เส้นทางมอสโกและเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก-ภูเก็ต
- สายการบิน Turkmenistan Airlines เส้นทางเติร์กเมนิสถาน-กรุงเทพฯ
- อีกทั้งนักท่องเที่ยวอิสราเอลมองประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมในเอเชีย เนื่องจากเป็นประเทศที่ “Friendly, affordable, with good beaches” โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ปลดประจำการทางทหารแล้ว
- เปิดเส้นทางบินใหม่ อาทิ สายการบิน Unilode Aviation Solutions เส้นทางอุซเบกิสถาน-กรุงเทพฯ
ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการเดินทาง
- การประกาศคำแนะนำการเดินทางจากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์พื้นที่ท่องเที่ยวตามแนวชายแดนของประเทศไทย เช่น จังหวัดบุรีรัมย์ ศรีสะเกษ สุรินทร์ อุบลราชธานี จันทบุรี และตราด หลายประเทศในยุโรปออกคำแนะนำให้นักท่องเที่ยวใช้ความระมัดระวังหรือหลีกเลี่ยงการเดินทางที่ไม่จำเป็นไปยังพื้นที่ดังกล่าว แต่ไม่มีการห้ามการเดินทางมาประเทศไทย ได้แก่ เยอรมนี สหราชอาณาจักร ไอร์แลนด์ สวีเดน นอร์เวย์ เดนมาร์ก ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส เบลเยียม ออสเตรีย สวิตเซอร์แลนด์ สเปน เช็ก และลิทัวเนีย
- ความขัดแย้งระหว่างประเทศอิสราเอลและอิหร่าน แม้ว่าได้มีข้อตกลงหยุดยิงในช่วงปลายเดือนมิถุนายน แต่ความตึงเครียดยังคงดำเนินอยู่เป็นระยะ ไม่มีการยกระดับมาตรการที่เป็นข้อจำกัดการเดินทางออกต่างประเทศ จึงส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการเดินทางท่องเที่ยวเพียงบางส่วน โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวครอบครัวที่อ่อนไหวต่อเหตุความไม่ปลอดภัย อย่างนอร์เวย์ ฟินแลนด์
- ต้นทุนการเดินทางที่สูงขึ้น ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่เพิ่มสูงขึ้นและเหตุการณ์ความไม่สงบหรือสงครามในภูมิภาคตะวันออกกลาง ส่งผลให้ราคาตั๋วเครื่องบิน Long-Haul สูงขึ้น การเดินทางบางเส้นทางหยุดชะงักหรือสายการบินระหว่างประเทศต้องเปลี่ยนไปใช้เส้นทางอ้อม ส่งผลต่อราคาและความสะดวกในการเดินทางของนักท่องเที่ยวยุโรปบางส่วน
ภูมิภาคอเมริกา

ภาพรวมภูมิภาคอเมริกา ด้านจำนวนนักท่องเที่ยว มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2567 ซึ่งตลาดในภูมิภาคอเมริกาที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวเติบโตสูงกว่าปีที่ผ่านมา ได้แก่ บราซิล (เพิ่มขึ้นร้อยละ 4) อาร์เจนตินา (เพิ่มขึ้นร้อยละ 1) ส่วนตลาดหลักสหรัฐอเมริกา (ลดลงร้อยละ 2) และแคนาดา (ลดลงร้อยละ 0.3)
ปัจจัยสนับสนุนการเดินทาง
- เทรนด์การท่องเที่ยว Set-jetting จากกระแสตอบรับซีรีส์ The White Lotus Episode 3
มีการกล่าวถึง “Thailand + White Lotus” ผ่านสื่อโซเชียลมีเดียช่องทางต่าง ๆ เช่น X / TikTok / Instagram ช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์เชิงบวกเกี่ยวกับสินค้าการท่องเที่ยวของประเทศไทยในกลุ่ม Luxury หรือ Beach Paradise จากการสร้างการรับรู้ถ่ายทอดไปยังกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับชมซีรีส์ดังกล่าว อีกทั้งกระแสตอบรับการค้นหาและยอดจองที่เพิ่มสูงขึ้นในส่วนของผู้ประกอบการโรงแรม ร้านอาหาร โดยเฉพาะในพื้นที่ภูเก็ต กระบี่ และสมุย ผนวกกับการเดินทางท่องเที่ยวช่วงวันหยุดฤดูร้อน (Summer Break) ของนักท่องเที่ยวกลุ่มครอบครัวและนักศึกษาที่ปิดภาคเรียนในช่วงกรกฎาคม-สิงหาคม
ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการเดินทาง
- ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา ส่งผลต่อความไม่มั่นใจในภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ เนื่องจากค่าครองชีพและราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้นจากภาษีที่เกิดขึ้น ตลาดสหรัฐอเมริกาจัดเป็นตลาด Super Long Haul การเดินทางมายังประเทศไทยมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง และค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงส่งผลให้นักท่องเที่ยวแลกเงินได้น้อยลง
- ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ส่งผลให้นักท่องเที่ยวสหรัฐอเมริกาแลกเงินบาทได้น้อยลง นโยบายภาษีการค้าระหว่างประเทศของทรัมป์ที่เริ่มต้นขึ้นนับตั้งแต่เดือนเมษายน และการประกาศใช้อัตราภาษีตอบโต้ใหม่ในเดือนสิงหาคม ส่งผลให้อัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเทียบกับเงินบาท อ่อนค่าลงร้อยละ 7 ในเดือนกันยายน 2568 เทียบกับเดือนมกราคม 2568 (อยู่ที่ 31.97 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จาก 34.27 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ)
- พฤติกรรมการจองการเดินทางท่องเที่ยวของชาวสหรัฐฯ เปลี่ยน ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจจากนโยบายการค้าสหรัฐฯ ที่เข้มงวดขึ้นของประธานาธิบดีทรัมป์ เงินเฟ้อที่ยังคงทรงตัวระดับสูงประมาณร้อยละ 2 ในไตรมาสนี้ ทำให้นักท่องเที่ยววางแผนการใช้จ่าย โดยเฉพาะการท่องเที่ยวซึ่งจัดเป็นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวยังคงมีความต้องการเดินทางท่องเที่ยว เพียงแต่เลือกเส้นทางท่องเที่ยวใกล้ขึ้น ระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น โดยมีการค้นหาเที่ยวบินภายใน 28 วันล่วงหน้าก่อนการเดินทางเพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 57 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา สะท้อนถึงความนิยมวางแผนแบบ “นาทีสุดท้าย”
- การเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวสหรัฐฯ ภาพรวมในช่วง Summer ชะลอตัว จากข้อมูลรายงานสถานการณ์ท่องเที่ยวรายเดือนจากภูมิภาคอเมริกา ททท. ณ เดือนกรกฎาคม พบว่า
- นโยบายต่อต้านผู้อพยพ การตรวจคนเข้าเมืองที่เข้มงวดมากขึ้นของทรัมป์ ทำให้คนที่ไม่ใช่สัญชาติอเมริกันโดยกำเนิดกังวลเรื่องการเดินทางกลับเข้ามายังสหรัฐฯ
- พันธมิตรสายการบินในพื้นที่ภูมิภาคอเมริการะบุว่า ภาพรวมการเดินทางออกไปเอเชียลดลงประมาณร้อยละ 12 โดยประเทศไทยลดลงร้อยละ 3 ซึ่งไทยเป็นประเทศในเอเชียที่มีอัตราลดลงน้อยกว่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย
ภูมิภาคเอเชียใต้

ภาพรวมภูมิภาคเอเชียใต้ เป็นหนึ่งในกลุ่มตลาดนักท่องเที่ยวตลาดระยะใกล้ที่มีอัตราการเติบโตดี ทั้งด้านจำนวนและรายได้ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2567
ตลาดหลัก “อินเดีย” เป็นตลาดศักยภาพที่เติบโตดีอย่างต่อเนื่องทั้งด้านจำนวนและรายได้ ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ครองสัดส่วนร้อยละ 83 ของจำนวนนักท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียใต้ และมีจำนวนและรายได้สูงติดอันดับ 3 ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดในช่วงเดือนกรกฎาคม-กันยายน 2568
- ภาพรวมสถานการณ์ตลาดอินเดียเป็นไปในทิศทางบวก มีนักท่องเที่ยวอินเดียเดินทางเข้าประเทศไทยระหว่างเดือนกรกฎาคม-กันยายน 2568 จำนวน 5.77 แสนคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 16 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีวันหยุดต่อเนื่องในวันประกาศเอกราช ซึ่งตรงกับวันศุกร์ที่ 15 สิงหาคม 2568 ทำให้ชาวอินเดียจำนวนมากเดินทางท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยในสัปดาห์ดังกล่าวมียอดค้นหาประเทศไทย (กรุงเทพฯ ภูเก็ต พัทยา) เพิ่มขึ้นร้อยละ 60 และมีจำนวนนักท่องเที่ยวอินเดียเดินทางเข้าประเทศไทยในช่วงวันหยุดดังกล่าว เพิ่มขึ้นร้อยละ 55
- แม้ว่าในช่วงเดือนกรกฎาคม 2568 จะเป็นช่วง Low Season ของตลาดอินเดีย ทำให้นักท่องเที่ยวอินเดียเดินทางออกนอกประเทศน้อยลง ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวอินเดียเดินทางเข้าประเทศไทยลดลงร้อยละ 8 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า (มิถุนายน 2568) ซึ่งเป็นช่วงปิดภาคเรียน แต่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาพบว่า ตลาดอินเดียยังคงเติบโตดี โดยขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาประมาณร้อยละ 19
- ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยม โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ พัทยา ภูเก็ต และกระบี่ โดยส่วนใหญ่นิยมเดินทางเพื่อมาจัดงานแต่งงานและหาประสบการณ์ที่หรูหรา ซึ่งสอดคล้องกับการดำเนินงานของ ททท. ร่วมกับพันธมิตรในการส่งเสริมตลาดการท่องเที่ยวกลุ่ม Luxury, Wedding & Honeymoon, Millennials, Golf, Spa ด้วยการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเพื่อสร้างการรับรู้และกระตุ้นการเดินทางมาท่องเที่ยวไทยในตลาดอินเดียอย่างต่อเนื่อง
ตลาดขนาดเล็กที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวเติบโตดี เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปี 2567 ได้แก่ ศรีลังกา เพิ่มขึ้นร้อยละ 28 ปากีสถาน เพิ่มขึ้นร้อยละ 27 เนปาล เพิ่มขึ้นร้อยละ 23 และบังกลาเทศ เพิ่มขึ้นร้อยละ 15
ตลาดศรีลังกา มีการเติบโตทั้งด้านจำนวนและรายได้สูงสุดในภูมิภาคนี้ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 28 และร้อยละ 27) โดยประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวศรีลังกา เนื่องจากไม่ต้องขอวีซ่า มีเที่ยวบินเชื่อมต่อการเดินทาง ค่าใช้จ่ายไม่สูงมาก มีแหล่งชอปปิง และมีความคล้ายคลึงทางวัฒนธรรม อย่างไรก็ตาม ศรีลังกาถือเป็นตลาดคู่แข่งขนาดเล็กที่มีการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวอย่างมั่นคง จากปัจจัยด้านเศรษฐกิจและค่าเงินที่มีเสถียรภาพ และมาตรการยกเว้นวีซ่าเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวให้แก่ 40 ประเทศ ซึ่งรวมถึงประเทศไทย สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และจีน ส่งผลให้รายได้จากการท่องเที่ยวของศรีลังกาในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.8 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
ตลาดที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ “เนปาล” (ฟื้นตัวร้อยละ 75 เทียบกับช่วงเดียวกันปี 2562) ในขณะที่ตลาดอื่นในภูมิภาคนี้มีสัดส่วนฟื้นตัวสูงกว่าปี 2562 โดยในช่วงต้นเดือนกันยายน 2568 เกิดเหตุประท้วงในเนปาล หลังจากรัฐบาลพยายามปิดกั้นการเข้าถึงโซเชียลมีเดีย ซึ่งโซเชียลมีเดียถือเป็นส่วนสำคัญในการดำเนินชีวิตของชาวเนปาล โดยมีอัตราผู้ใช้ต่อหัวสูงที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียใต้ ทำให้เกิดกระแสความไม่พอใจของประชาชนและคนรุ่นใหม่จนลุกลามกลายเป็นการประท้วงในวันที่ 8 กันยายน 2568 ซึ่งเริ่มเข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวของเนปาล (กันยายน-ธันวาคม)
ปัจจัยด้านการบินที่เอื้อต่อการเดินทางเข้าประเทศไทย ได้แก่ จำนวนที่นั่งโดยสาร (Seat Capacity) และเส้นทางบินใหม่จากภูมิภาคเอเชียใต้เข้าประเทศไทย
- Seat Capacity มีจำนวน 1,219,820 ที่นั่ง เพิ่มขึ้นร้อยละ 24 จากช่วงเวลาเดียวกันในปี 2567 และมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 8 จากปี 2562 ก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19
- เส้นทางบินใหม่เข้าไทยจากตลาดอินเดีย ได้แก่
- เส้นทางมุมไบ-ภูเก็ต โดยสายการบิน Starlight Airlines และ Thai VietJet
- เส้นทางโกลกาตา-กรุงเทพฯ โดยสายการบิน SpiceJet
ภูมิภาคโอเชียเนีย

ภาพรวมภูมิภาคโอเชียเนีย จำนวนนักท่องเที่ยวมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย (ร้อยละ 0.1) ในขณะที่รายได้ทางการท่องเที่ยวหดตัวลงเล็กน้อย (ร้อยละ 0.1) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2567
ตลาดหลัก “ออสเตรเลีย” ยังคงเติบโตดีต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันในปี 2567 ทั้งด้านจำนวนและรายได้ โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวฟื้นตัวกลับมาใกล้เคียงกับปี 2562 ก่อนวิกฤตโควิด-19 เนื่องจากปัจจัยด้านจำนวนที่นั่งโดยสาร 259,794 ที่นั่ง เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 เทียบกับช่วงเดียวกันปี 2567 และฟื้นตัวสูงกว่าปี 2562 (เพิ่มขึ้นร้อยละ 24 จากปี 2562) รวมไปถึงการส่งเสริมการเดินทางของกลุ่มความสนใจพิเศษ โดยเฉพาะ Golf, Scuba Dive, Bicycling, Health & Wellness, Wedding & Honeymoon เพื่อสร้างการรับรู้ประเทศไทย ด้วยการโฆษณาประชาสัมพันธ์ข้อมูลแหล่งท่องเที่ยว แพ็กเกจทัวร์ของประเทศไทย ลงในสื่อสิ่งพิมพ์และสื่อออนไลน์ นอกจากนี้ จากรายงานแนวโน้มการท่องเที่ยวของสมาคมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวออสเตรเลีย (ATIA) พบว่า ประเทศในแถบเอเชียยังคงเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวออสเตรเลีย โดยเฉพาะอินโดนีเซีย (บาหลี) ญี่ปุ่น และเวียดนาม
ตลาดนิวซีแลนด์ หดตัวลงเล็กน้อยทั้งด้านจำนวนและรายได้ โดยลดลงร้อยละ 4 เทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2567 (ฟื้นตัวมากกว่าร้อยละ 90 เทียบกับปี 2562) ซึ่งตลาดนิวซีแลนด์ถือเป็นหนึ่งในคู่แข่งด้านความปลอดภัยและยั่งยืน เนื่องจากภาพลักษณ์ของประเทศที่เน้นความปลอดภัย ความยั่งยืน และธรรมชาติสวยงาม นักท่องเที่ยวต่างชาติยังคงมีความเชื่อมั่นสูงต่อแบรนด์ “New Zealand” โดยเฉพาะในกลุ่มอายุ 25-45 ปี ซึ่งมองว่านิวซีแลนด์เป็นจุดหมายปลายทางที่ให้ประสบการณ์เฉพาะตัวและมีคุณภาพสูง ทำให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของนิวซีแลนด์มีสัญญาณฟื้นตัวอย่างมั่นคง มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 6 ต่อปี โดยภาคธุรกิจโรงแรมยังคงเป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดและมีอัตราการใช้บริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่มีผลต่อความเชื่อมั่นและการตัดสินใจเลือกเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย คือ การประกาศแจ้งเตือนให้งดเดินทางไปยังพื้นที่ที่เกิดข้อพิพาททางชายแดนและการเมือง ได้แก่ พื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ครอบคลุมจังหวัดบุรีรัมย์ ศรีสะเกษ สระแก้ว สุรินทร์ อุบลราชธานี จันทบุรี ตราด และพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ชายแดนไทย-มาเลเซีย) ครอบคลุมจังหวัดนราธิวาส ยะลา ปัตตานี สงขลาตอนใต้ นอกจากนี้ ยังมีการแจ้งเตือนให้ใช้ความระมัดระวังในระดับสูงสำหรับการเดินทางในประเทศไทย เนื่องจากยังมีความเสี่ยงต่อการก่อการร้ายอย่างต่อเนื่อง และสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอาจเป็นเป้าหมายในการก่อการร้ายในทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทย รวมถึงกรุงเทพฯ และภูเก็ต
ภูมิภาคตะวันออกกลาง

ภาพรวมภูมิภาคตะวันออกกลาง มีอัตราการเติบโตลดลงประมาณร้อยละ 2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2567 โดยตลาดหลัก “ซาอุดีอาระเบีย” (ลดลงร้อยละ 5) “สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์” (ลดลงร้อยละ 1)
ปัจจัยสนับสนุนการเดินทาง มีดังนี้
- อากาศร้อนจัดภายในประเทศตะวันออกกลาง ช่วงเดือนกรกฎาคม-กันยายน ประเทศในแถบตะวันออกกลางส่วนใหญ่มีอุณหภูมิเฉลี่ย 40-50 องศาเซลเซียส และอาจมีอุณหภูมิสูงกว่า 50 องศาในช่วงกลางวัน อีกทั้งช่วงกลางคืนอากาศค่อนข้างอบอุ่นไปจนถึงร้อน ช่วยส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวตะวันออกกลางหลีกหนีสภาพอากาศร้อน และเลือกเดินทางไปท่องเที่ยวจุดหมายปลายทางที่มีอากาศเย็นสบายเหมาะกับการท่องเที่ยวเพื่อพักผ่อน
- การส่งเสริมการตลาดเชิงรุกในภูมิภาคตะวันออกกลางของ ททท. โดยเฉพาะกลุ่ม Health & Wellness โดยเข้าร่วมงาน Oman Health Exhibition 2025 ระหว่างวันที่ 22-24 กันยายน 2568 ณ เมืองมัสกัต ประเทศโอมาน เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการที่เกี่ยวกับสุขภาพและนวัตกรรมทางการแพทย์ ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสของประเทศไทยในการเข้าถึงตลาดนักท่องเที่ยวตะวันออกกลางที่มีกำลังซื้อสูงโดยเฉพาะกลุ่มที่สนใจเกี่ยวกับการรักษาสุขภาพและความงาม
ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการเดินทาง
- ผลกระทบความเชื่อมั่นในการเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวตะวันออกกลาง จากความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน ปฏิบัติการโจมตีทางทหาร (Rising Lion) ระหว่างอิสราเอลและอิหร่านรุนแรงขึ้นในช่วงวันที่ 13-24 มิถุนายน 2568 ส่งผลให้หลายประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลางปิดน่านฟ้า (อิรัก จอร์แดน ซีเรีย เลบานอน และอิหร่าน) สายการบินของตะวันออกกลาง อาทิ Etihad, Emirates, Qatar Airways, Fly Dubai ฯลฯ ระงับเที่ยวบินระหว่างประเทศชั่วคราว และเว็บไซต์ Safe Airspace ออกคำเตือนการคมนาคมขนส่งทางอากาศ หากต้องทำการบินใกล้กับพื้นที่ความขัดแย้งจำเป็นต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
แม้ว่าสถานการณ์ได้คลี่คลายลงโดยมีข้อตกลงหยุดยิงและกลับมาเปิดน่านฟ้าปกติในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมก็ตาม แต่เหตุดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการเดินทางท่องเที่ยว สูญเสียโอกาสรองรับนักท่องเที่ยวจากกลุ่มประเทศ GCC ในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวออกต่างประเทศช่วงปิดภาคเรียน ระหว่างเดือนมิถุนายน-สิงหาคม 2568 โดยเฉพาะ กลุ่มนักท่องเที่ยว Arab Families และ First-time Visitors ที่มีการชะลอและยกเลิกการเดินทาง เนื่องจากกังวลว่าสถานการณ์ระหว่างอิสราเอลและอิหร่านอาจกลับมารุนแรงอีกครั้ง ทั้งนี้ ททท. สำนักงานดูไบมีแนวทางการดำเนินงานเพื่อลดผลกระทบการชะลอการเดินทาง อาทิ
- อัปเดตสถานการณ์เที่ยวบินและเส้นทางบินที่ยังคงเปิดให้บริการอย่างต่อเนื่อง รวมถึงความปลอดภัยเป็นประจำทุกสัปดาห์ สื่อสารด้านคุณภาพและความปลอดภัย ซึ่งประเทศไทยไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสถานการณ์สงคราม
- จัดกิจกรรมนำคณะ Arab Influencer จำนวน 5 ราย ร่วมกับสายการบิน Air Arabia เดินทางเยือนประเทศไทย ระหว่างวันที่ 15–21 กรกฎาคม 2568 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และพัทยา (จังหวัดชลบุรี) เพื่อประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวคุณภาพที่เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวกลุ่มครอบครัวอาหรับ พร้อมทั้งเน้นย้ำภาพลักษณ์ของประเทศไทยในด้านความปลอดภัย ความสะดวกสบาย และการต้อนรับที่อบอุ่น
- เตรียม Campaign ช่วงปลายกรกฎาคม-สิงหาคม เพื่อดึงยอดคืนเมื่อสถานการณ์ผ่อนคลาย ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการจัดทำ Media Plan ร่วมกับ Almosafer (OTA) ซาอุดีอาระเบีย
- สนับสนุนแคมเปญร่วมกับสายการบินและผู้ประกอบการในราคาพิเศษ
ภูมิภาคแอฟริกา

ภาพรวมภูมิภาคแอฟริกา ทั้งจำนวนและรายได้มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2567 โดยตลาดหลัก “แอฟริกาใต้” มีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้าไทยประมาณ 1.6 หมื่นคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 ในขณะที่ตลาดอื่น ๆ ในภูมิภาคแอฟริกา มีจำนวนประมาณ 3.4 หมื่นคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 16 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2567
ปัจจัยสนับสนุนการเดินทาง
- นักท่องเที่ยวภูมิภาคแอฟริกาหลีกหนีอากาศหนาว ช่วงเดือนกรฎาคม-กันยายน เป็นช่วงฤดูหนาวของแอฟริกา ซึ่งอุณหภูมิต่ำสุด 3 องศาเซลเซียส นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จึงวางแผนหาแหล่งท่องเที่ยวที่มีอากาศอบอุ่น โดยประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวระยะไกล มีอากาศที่สบาย ๆ และอบอุ่นกว่าในภูมิภาค อีกทั้งมีวัฒนธรรมที่หลากหลายตามความสนใจของนักท่องเที่ยวแอฟริกา
- ความสะดวกในการเดินทางมายังประเทศไทยผ่านสายการบินเชื่อมโยง โดยผ่านภูมิภาคตะวันออกกลางและเอเชียตะวันออก เช่น สายการบิน Qatar Airways สายการบิน Emirates Airlines สายการบิน Singapore Airlines และสายการบิน Cathay Pacific