5 “ไม่” ต้นเหตุของการเสียค่าโง่

 

รศ. ดร.กฤตินี ณัฏฐวุฒิสิทธิ์  

 

เป็นเรื่องปรกติที่สิ่งใดได้มาก็ต้องมีเสียไป ทุกอย่างมีราคาที่ต้องจ่าย แต่ที่จะกลายเป็นปัญหาคือเมื่อค่าตอบแทนหรือค่าใช้จ่ายตามเหตุและผลกลับกลายเป็นค่าเสียหายหรือค่าโง่ สาเหตุหลักที่พบบ่อยคือ “ความไม่รู้” ที่ทำให้การตัดสินใจผิดเพี้ยน การจัดการไม่มีประสิทธิภาพ และเกิดผลเสียเกินคาดคิด 

 

วันนี้มาชวนกันเปิดมุมมอง ทำความเข้าใจไขความไม่รู้ โดยเฉพาะในเรื่องการจัดการท่องเที่ยวที่มีความซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับหลายฝ่าย และยังส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อทุกคน เนื่องจากเกี่ยวโยงกับทรัพยากรโดยรอบ โดยเฉพาะสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ ที่ทุกคนล้วนมีส่วนร่วมรับผิดชอบทั้งในแง่การใช้ การบำรุงรักษา และการสร้างคืนเพื่อให้เกิดความยั่งยืน

 

“ไม่รู้เรื่อง” หมายถึงความไม่รู้เกี่ยวกับปัจจัยและผลลัพธ์ของการจัดการท่องเที่ยว ที่ทำให้เราอาจไม่เข้าใจว่าต้องเสียอะไรบ้างเพื่อได้อะไรมาในกระบวนการพัฒนา ที่มักจะระบุผลประโยชน์ตั้งแต่ระดับ output เช่น จำนวนผู้เยี่ยมชมที่เพิ่มขึ้น รายได้จากการท่องเที่ยว ไปจนถึง outcome อย่างการสร้างความก้าวหน้าทางสังคม มีการยกระดับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ให้หลุดพ้นจากความยากจน การได้มาในภาคการท่องเที่ยวนี้ ต้องแลกกับสิ่งที่เสียไป ซึ่งแบ่งออกเป็นทางตรง เช่น ต้นทุนการก่อสร้าง การใช้ทรัพยากรธรรมชาติ และทางอ้อม เช่น การสูญเสียวิถีชีวิตดั้งเดิมของชุมชน หรือผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ ตัวอย่างเช่น การสร้างรีสอร์ตบนชายฝั่งที่ทำลายแนวปะการังและทำให้ชุมชนประมงต้องปรับตัว

 

ความไม่รู้เรื่องอาจทำให้มองไม่ครบถ้วน เห็นเพียงบางด้านและขาดความระมัดระวังในการตัดสินใจ จนกลายเป็นมุมมองที่ลำเอียงหรือมืดบอด (Blind sided) ไม่เห็นความเสี่ยงที่แอบแฝง หรืออาจมองข้ามไป ตัวอย่างชวนคิดได้แก่การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่เรียก Agritourism ที่ด้านบวกมาช่วยสร้างรายได้เสริมให้กับเกษตรกร เป็นการขยายการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ทำกิน และยังเป็นช่องทางขายสินค้าตรงให้กับผู้บริโภคนักท่องเที่ยว ด้านลบที่สูญเสียแทบไม่เห็น แต่ในความเป็นจริงพบหลายกรณีที่สุดท้ายแล้วนำมาซึ่งการเสื่อมสลายทางการเกษตร เนื่องจากเกษตรกรมัวหมดเวลาไปกับการรับแขกจนไม่มีเวลาไปดูแลแปลง สุดท้ายนอกจากไม่มีผลผลิตแล้ว เสน่ห์ของพื้นที่ท่องเที่ยวเชิงเกษตรก็หมดตามไป 

 

กรณีที่พบได้บ่อยในหลายพื้นที่ คือความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของชุมชนหรือหน่วยงานท้องถิ่น เมื่อค้นพบแหล่งท่องเที่ยวใหม่และเห็นโอกาสในการสร้างรายได้ จึงเร่งเข้าไปพัฒนาโดยขาดการวางแผนและความรู้ที่จำเป็น เช่น การสร้างถนน ทางเดิน หรือที่จอดรถเพื่ออำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยว แต่การดำเนินการเหล่านี้ก่อให้เกิดผลกระทบตามมา เช่น ในบางพื้นที่มีการวางท่อระบายน้ำหรือสิ่งปลูกสร้างโดยไม่เหมาะสม ส่งผลให้เส้นทางน้ำธรรมชาติถูกขวางหรืออุดตัน เกิดปัญหาน้ำท่วมเฉียบพลัน หรือดินถล่มในฤดูฝน นอกจากนี้ การขาดการประเมินศักยภาพและผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม การตั้งสิ่งปลูกสร้างที่บดบังทัศนียภาพ หรือการนำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้เกินความเหมาะสม ล้วนก่อให้เกิดผลเสียระยะยาวทั้งต่อแหล่งท่องเที่ยวและชุมชนในพื้นที่ กรณีเหล่านี้ยืนยันว่าการพัฒนาการท่องเที่ยวแม้จะมีเจตนาดีในการสร้างประโยชน์ แต่ก็สามารถสร้างผลกระทบร้ายแรงได้หากขาดความรู้เรื่องที่ครอบคลุมปัจจัยประกอบรอบด้าน

 

“ไม่รู้ทิศรู้ทาง” สะท้อนถึงความไม่รู้วิธีการจัดการสิ่งที่ได้มาและสิ่งที่เสียไปจากการพัฒนาการท่องเที่ยว โดยหนทางมีตั้งแต่การแลกเปลี่ยน (Trade) ที่มักเกิดขึ้นแบบเห็นผลทันที เช่น การเปลี่ยนพื้นที่เป็นโรงแรมหรือแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งชุมชนได้รับค่าตอบแทนจากการขายหรือให้เช่าพื้นที่ หรือการว่าจ้างแรงงานท้องถิ่นเพื่อให้บริการแก่นักท่องเที่ยว เช่น การจ้างคนในชุมชนเป็นพนักงาน หรือการใช้บริการการขนส่ง และการผลิตวัตถุดิบ ผลตอบแทนจากการว่าจ้างเหล่านี้มักนำมาใช้คำนวณเพื่อแสดงผลประโยชน์ ทั้งนี้การแลกเปลี่ยนอาจเกิดขึ้นอย่างสมเหตุผลและเป็นธรรม (Fair Trade) เช่น ที่พบในการท่องเที่ยวที่แอฟริกาใต้ ด้วยแนวคิด Fair Trade Tourism (FTT) ตั้งอยู่บนหลักการที่ทุกฝ่ายได้รับส่วนแบ่งที่เป็นธรรมตามสัดส่วนของการมีส่วนร่วมในกิจกรรม รวมทั้งมีสิทธิและโอกาสในการแสดงความคิดเห็นและร่วมตัดสินใจในทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวเอง ทั้งเจ้าบ้านและนักท่องเที่ยวต้องเคารพสิทธิมนุษยชน วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม เช่น การมีสภาพการทำงานที่ปลอดภัย การดูแลแรงงานเยาวชน ส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ เข้าใจบรรทัดฐานทางสังคมและวัฒนธรรม และลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่จำเป็น อีกทั้งการบริการควรมีมาตรฐานที่เชื่อถือได้ ปลอดภัย โปร่งใสทั้งในโครงสร้างธุรกิจและการแบ่งปันผลประโยชน์ทุกด้าน ธุรกิจการท่องเที่ยวควรคำนึงถึงความยั่งยืน เช่น การพัฒนาศักยภาพคนในพื้นที่ การใช้ทรัพยากรอย่างรับผิดชอบ เศรษฐกิจหมุนเวียนในท้องถิ่น และการสนับสนุนผู้ประกอบการที่เคยเสียเปรียบในอดีต เพื่อให้การท่องเที่ยวสร้างประโยชน์ที่มั่นคงและยั่งยืนอย่างแท้จริง 

 

อย่างไรก็ตามการแลกเปลี่ยนในหลายกรณี อาจมีการได้เปรียบหรือเสียเปรียบเกิดขึ้น เช่น โครงการท่องเที่ยวที่นักลงทุนต่างชาติเข้ามาพัฒนาและแบ่งรายได้อย่างไม่โปร่งใส มีที่มาจากชุมชนขาดความรู้ว่าถูกเอาเปรียบ จนต้องแลกทรัพยากรหรือสิทธิ์ในราคาต่ำกว่าความเป็นจริง ในบางกรณีการเสียเปรียบยังอาจมาจากความจำยอม เช่น ยอมขายที่ดินเพราะขาดทางเลือกและข้อมูล หรือมีแรงกดดันทางเศรษฐกิจและผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น หรือมาจากความไม่เท่าทันข้อตกลงต่าง ๆ กรณีศึกษาในบทความโดย Clifton, Hampton, and Jeyacheya (2018) ใน Asia Pacific Viewpoint ระบุถึงอุทยานแห่งชาติ Lampi ประเทศเมียนมาว่า แม้จะถูกนำเสนอว่าเป็นโมเดลการพัฒนา Ecotourism ที่จะสร้างผลประโยชน์ทั้งต่อการอนุรักษ์และลดความยากจน แต่ในข้อเท็จจริงกลับพบว่าชุมชน Moken และผู้อยู่อาศัยอื่น ๆ มีส่วนร่วมอย่างจำกัด โครงสร้างการท่องเที่ยวแบบรีสอร์ตจำนวนมากเน้นผลประโยชน์เชิงพาณิชย์เฉพาะกลุ่มทุน มากกว่าการแบ่งปันรายได้แก่ชุมชนท้องถิ่น กลายเป็นตัวอย่างของการเสียเปรียบ แม้จะมีโครงการที่พยายามดึงชุมชนเข้ามา เช่น การฝึกอบรมไกด์ นำเที่ยวเชิงอนุรักษ์ การจัดกิจกรรมวัฒนธรรม Moken หรือจัดตั้งกลุ่มชุมชนเพื่อดูแลผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น แต่โดยรวมแล้วรายได้และกระบวนการตัดสินใจกลับอยู่ในมือคนบางกลุ่ม โดยไม่ได้กระจายให้ชุมชนอย่างที่คาดหวังไว้ และเกิดผลกระทบต่อวิถีชีวิตในท้องถิ่น เช่น การสูญเสียสิทธิในการทำประมงแบบดั้งเดิม ขาดโอกาสเรียนรู้หรือถ่ายทอดวัฒนธรรมของตนเอง   

 

นอกจากการแลกเปลี่ยนแล้ว ยังมีวิธีการจัดการส่วนได้และเสียในรูปแบบของการลงทุน (Investment) เป็นอีกกลไกที่ตั้งเป้าผลตอบแทนในอนาคต เช่น การสร้างถนนหรือสนามบินเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวมากขึ้น หรือการพัฒนาโครงการท่องเที่ยวชุมชนที่หวังสร้างรายได้ต่อเนื่อง ในหลายตัวอย่างเช่น โครงการในประเทศจีนที่พัฒนาเมืองท่องเที่ยวคู่กับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม พบว่ามีการขยายประโยชน์สู่ชุมชนหากมีการประเมินและบริหารความเสี่ยงถูกต้อง แต่ในด้านตรงข้าม การลงทุนขนาดใหญ่บางแห่งประสบภาวะขาดทุนหรือผลเสียระยะยาว เช่น กรณี Venice ที่ลงทุนเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวแต่กลับเกิดปัญหา Over-tourism สิ่งแวดล้อมเสียหาย สร้างผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตชาวเมืองอย่างรุนแรง ทั้งหมดนี้แสดงว่าแม้จะประเมินและเตรียมการลงทุนดีแล้ว แต่ทุกโครงการยังมีความเสี่ยงในระดับที่ควบคุมได้และควบคุมไม่ได้เสมอ ทำให้ต้องตระหนักรู้และพร้อมปรับตัวเพื่อรับการเปลี่ยนแปลง 

 

“ไม่รู้ตัว” คือผลลัพธ์ที่มาจากทั้งความไม่รู้เรื่อง และไม่รู้ทิศรู้ทาง ทำให้ไม่รู้ตัวว่าตกเป็นเหยื่อในวงจรการพัฒนาท่องเที่ยว ยกตัวอย่างเช่น ชุมชนบางแห่งเข้าใจผิดว่าผู้เล่นหรือผู้รับผลประโยชน์มีเพียงกลุ่มนักพัฒนาและนักท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงกลับเกิดการ “แทรกตัว” ของกลุ่มนายหน้า กลุ่มทุน หรือคนกลางที่เข้ามาช่วงชิงผลประโยชน์ในระบบ โดยไม่มีส่วนร่วมดูแลกับเจ้าของพื้นที่ แต่กลับทิ้งภาระให้ชุมชนต้องแบกรับในภายหลัง บางกรณีพบปรากฏการณ์ “หายตัว” ของกลุ่มที่เคยอ้างว่าช่วยเหลือหรือสนับสนุน เช่น บริษัทนายหน้าหรือกลุ่มเอเยนต์ที่อ้างเอาค่าคอมมิชชั่นเพื่อเชื่อมต่อกับนายทุนและคนทำโครงการ แล้วไม่สานต่อพันธะที่เคยให้ไว้กับชุมชนหรือแหล่งท่องเที่ยว รวมถึงกรณี “เปลี่ยนตัว” ที่กลไกการจัดการผลประโยชน์ในทรัพยากรกลายเป็นการเปลี่ยนมือต่อกันหลายชั้น เช่น สัมปทานการท่องเที่ยวถ้ำ ป่า หรือชายหาด ตั้งแต่ระดับท้องถิ่นจนถึงนายทุนรายใหญ่ ส่งผลให้เกิดปัญหาการขาดผู้รับผิดชอบและความเหลื่อมล้ำในการกระจายผลประโยชน์ ผลักดันกระแสราคาสูงจนคนในท้องถิ่นเข้าไม่ถึง บางแห่งทำให้ชาวบ้านขาดพื้นที่ทำกินในที่สุด 

 

ตัวอย่างที่น่าสนใจจากประเด็นศึกษาโดย Norwegian Centre for Humanitarian Studies โดย Kari Telle (2003) ระบุถึงการขยายตัวอย่างรวดเร็วของ Enclave Tourism หรือการสร้างเขตท่องเที่ยวพิเศษที่มีการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ผ่านรีสอร์ตแบบครบวงจรและ Mega Project ปรากฏชัดเจนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งในแผ่นดินใหญ่และหมู่เกาะ โดยมีหลายเกาะและชายฝั่งที่ถูกแปลงสภาพเป็นรีสอร์ตหรูหรือเขตท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่ม อาทิ มัลดีฟส์ ที่ได้เลือกใช้นโยบายพัฒนาการท่องเที่ยวแบบเอกสิทธิ์สูง “หนึ่งเกาะ หนึ่งรีสอร์ต” ตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 1970 โดยรัฐบาลเริ่มลงทุนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว พร้อมเหตุผลเลือกสร้างรีสอร์ตบนเกาะที่ไม่มีผู้คนอาศัยเดิม เพื่อปกป้องชุมชนท้องถิ่นจากอิทธิพลของวัฒนธรรมฟุ่มเฟือยและวิถีชีวิตแบบแปลกปลอม ประกอบกับการสร้างภาพจุดขายการเป็นเกาะสวรรค์ส่วนตัว ด้วยการออกแบบรีสอร์ตและชายหาดให้คล้ายเกาะเขตร้อนรกร้างในจินตนาการ คล้ายกับเรื่องราว Robinson Crusoe แม้ว่านโยบายดังกล่าวจะนำมาซึ่งการพัฒนาพื้นที่รกร้าง แต่การห้ามคนท้องถิ่นเข้าใช้ประโยชน์จากเกาะรีสอร์ตเหล่านี้ ได้ทำให้เกิดการกีดกันและความเหลื่อมล้ำแบบไม่รู้ตัว อันเกิดจากการขาดข้อมูลและมุมมองรอบด้านในการจัดการและใช้ทรัพยากรท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน 

 

การทำความเข้าใจเพื่อแก้ไขความไม่รู้ที่นำไปสู่การต้องเสียค่าโง่ โดยเฉพาะกับความเสียหายในมิติสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ไม่อาจใช้เงินชดเชยได้ จำเป็นต้องอาศัยความตระหนักรู้และความตั้งใจจริงของทุกฝ่าย ไม่จำกัดว่ามีการศึกษาหรือฐานะอย่างไร ตัวอย่างของชุมชนที่รวมตัวอย่างเข้มแข็ง เช่น กลุ่มท่องเที่ยวโดยชุมชนในหลายพื้นที่ทั่วโลก ที่เริ่มจากการวิเคราะห์ทรัพยากรในท้องถิ่น วางแผนและพัฒนาอย่างมีส่วนร่วม รู้เท่าทันกลไกการแบ่งผลประโยชน์ และมีเครือข่ายเฝ้าระวังหรือเจรจากับผู้ลงทุนจนสามารถรักษาอัตลักษณ์และทรัพยากรของตนไว้ได้ มีปัจจัยสำคัญคือความรู้เรื่อง รู้ทิศทาง รู้ตัว และการยืนหยัดพิทักษ์ผลประโยชน์ร่วมของทุกฝ่ายอย่างเป็นธรรม

 

อย่างไรก็ดี ภัยเงียบที่น่ากังวลยิ่งกว่าความไม่รู้คือความ “ไม่รู้ไม่ชี้” จากคนที่เพิกเฉยหรือเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเฉพาะหน้า ปล่อยให้กลไกและผลพวงตกทอดถึงคนรุ่นถัดไปที่ “ไม่รู้อิโหน่อิเหน่” การแก้ไขจึงไม่ใช่แค่สร้างผู้รู้ แต่ต้องปลุกจิตสำนึกและเสริมพลังให้คนในทุกระดับกล้ายืนหยัดร่วมขับเคลื่อน แม้ว่าการพัฒนาการท่องเที่ยวจะมีราคาที่ต้องจ่าย ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนทางทรัพยากร เวลา หรือความพยายามในการเปลี่ยนแปลง แต่ราคานั้นต้องไม่ใช่ค่าโง่ หากแต่คือมูลค่าการแลกเปลี่ยนที่นำไปสู่การสร้างคุณค่าที่สมดุลและยั่งยืน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม 

 

Share This Story !

Published On: 05/12/2025,1.2 min read,Views: 73,

Related projects

  • ¡Hola! Spanish Travelers

    ธันวาคม 9, 2025

  • ‘เรื่องเล่น’ เรื่องเล็กน้อยมหาศาล

    ธันวาคม 9, 2025

  • ‘DESERT SUPERCITY’ มหานคร แห่งทะเลทราย

    ธันวาคม 9, 2025