
โรคาภิวัตน์
The “Spanish Flu” in the World War I period and “COVID-19” at present are both pandemics that have brought disaster to humanity. However, there are 3 differences between them in terms of time, prevention, and medical treatment. Today, humans have developed new technologies and innovations to handle the pandemic and resume the world to the normal state at the soonest.
โดย พัชรวรรณ วรพล
เมื่อเราต้องผจญกับ COVID-19 ในปัจจุบันที่แพร่ระบาดไปทั่วโลกจนมีผู้เสียชีวิตอยู่ทุกๆ วัน ตัวเลขจำนวนผู้ติดเชื้อลดหรือคงที่ให้มนุษย์โลกดีใจอยู่ได้ไม่นานก็พุ่งขึ้นไปจนหลายๆ ประเทศมีระลอกสอง และอาจมีระลกอื่นๆ ตามมาอาจจะเพราะคนไม่เข้มงวดในการป้องกันแบบในตอนแรกๆ เชื้อโรควิวัฒนาการบิดหนีหาทางรอด แม้จะมียารักษาโรค มีอุปกรณ์เทคโนโลยี มีสื่อโซเชียลช่วยกระจายข่าวบอกกล่าวถึงการป้องกัน การปฏิบัติตัว และการดูแลรักษาก็ตามทีแต่มันก็สร้างหายนะต่อธุรกิจ เศรษฐกิจ สังคม สุขภาพกายและสุขภาพจิตจนเข้าขั้นวิกฤต
หลายๆ คนคงไม่คาดคิดว่าชีวิตจะมาเจอโรคระบาดจนคนเป็นกันนับสิบๆ ล้าน เกิดผลกระทบต่อความเป็นอยู่กันไปทั้งโลก หากลองย้อนกลับ ไปในอดีต มนุษย์เราคงเคยเจ็บไข้ได้ป่วยจากโรคระบาดกันมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่ก็มีวิธีต่อสู้ ป้องกัน รักษาตามวิถีทาง ณ เวลานั้น เวลา ที่ไม่มีแม้แต่จะเห็นหรือรู้จักตัวเชื้อโรค จนหลายคนเชื่อว่า…เป็นการลงโทษจากพระเจ้า?
ในปี ค.ศ. 1918 ปลายสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้เกิดโรคระบาดที่ก่อหายนะ ไว้กับมวลมนุษยชาติ ที่หลายๆ คนคงเคยได้ยินกัน คือ ‘ไข้หวัดใหญ่สเปน’ ที่ไม่สามารถระบุแน่ชัดว่าเริ่มต้นขึ้นที่ไหน แต่ที่แน่ๆ ไม่ได้เกิดขึ้นที่ประเทศสเปน หากแต่สเปนซึ่งวางตัวเป็นกลางในช่วงสงคราม พร้อมการรายงาน ข่าวอย่างต่อเนื่อง ไม่ปิดบังหรือบิดเบือนข่าวสารเหมือนชาติอื่นๆ ที่ทำเพื่อผลประโยชน์ในการทำสงคราม สเปนจึงเป็นแหล่งข่าวเดียวในขณะนั้น แม้แต่กษัตริย์อัลฟองโซที่ 13 (Alfonso XIII de España) แห่งสเปน
และเหล่าขุนนางต่างก็ป่วยด้วยอาการแบบเดียวกัน คนส่วนใหญ่จึงเข้าใจ และเรียกกันว่า ‘ไข้หวัดใหญ่สเปน’ โดยข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (ΩΗΟ) ระบุว่าโรคนี้ทำให้คนตายไป 40−50 ล้านคน และคาดว่ามีคนติดเชื้อ ถึง 18,000 ล้านคน หรือราวๆ 1 ใน 3 ของประชากรโลก
การระบาดอย่างรวดเร็วอันเนื่องมาจากอยู่ในช่วงสงคราม มีการขนส่ง ทางทหารกันเกือบทุกประเทศทั่วโลก รวมทั้งสยามประเทศ ทหารที่กลับบ้าน และปะปนในฝูงชนจึงช่วยแพร่เชื้อได้เป็นอย่างดี เมื่อไม่รู้จักเชื้อโรคเพราะ สมัยนั้นกล้องจุลทรรศน์ก็ยังไม่มี ยารักษาก็ไม่มี แพทย์มีความรู้จำกัด คนมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องสุขอนามัยแบบผิดๆ ถูกๆ การป้องกันเบื้องต้นจึงมีแค่ใส่หน้ากากอนามัย และหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่แออัดเท่านั้น
เมื่อกลับมามองภาวะโรคระบาดในตอนนี้ บ่อเกิดแห่งวิกฤตวิถีชีวิตที่ต้อง เปลี่ยนไป ทำให้เกิดการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์หรือนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่ออนาคตมาใช้เร็วขึ้น ด้วยความเป็นโรคระบาด ผู้คนจึงต้องการ หลีกเลี่ยงการสัมผัส เว้นระยะห่างกัน สิ่งที่เราต้องการใช้มากที่สุดคือ นวัตกรรมไร้การสัมผัส อย่างเช่น เวลาใช้ลิฟต์ก็ใช้มือโบกใกล้ๆ ปุ่มกด ไม่ต้องใช้นิ้วสัมผัสปุ่มแต่อย่างใด หรือการใช้สมาร์ทโฟนสั่งสินค้าและ อาหาร การชำระเงินก็ใช้ระบบไร้การสัมผัสเช่นกัน จนมีคำหนึ่งซึ่งคุ้นหูกัน อย่าง ‘Cashless Society’ หรือสังคมไร้เงินสดนั่นเอง ธุรกิจร้านอาหาร ในแคนาดา โดยเฉพาะกลุ่มแฟรนไชส์ก็เลิกใช้เมนูแบบเล่ม แต่ใช้นวัตกรรม ใหม่โดยออกแบบกราฟิกพิมพ์เป็นแผ่นป้ายให้ผู้ใช้บริการนำสมาร์ทโฟน มาอยู่ในบริเวณใกล้ๆ ระบบจะทำการเชื่อมต่อและส่งเมนูให้ลูกค้า ซึ่งลูกค้าสามารถสั่งและชำระเงินผ่านสมาร์ทโฟนโดยไม่จำเป็นต้องติดต่อ กับพนักงาน การทำงานจากที่บ้าน ‘Work From Home’ หรือการเรียน กิจกรรมประชุมสัมมนาต่างๆ ที่ต้องหันมาใช้แพลตฟอร์มที่ให้บริการ Video Conference เช่น Zoom, ezTalks, GoToMeeting, Skype ฯลฯ ซึ่งใช้งานง่าย ปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการของผู้ใช้ รองรับอุปกรณ์ ได้มากมาย นับเป็นสิ่งใหม่ที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตเราแบบไม่คาดคิดมาก่อน
แต่ถ้าจำเป็นต้องติดต่อผู้ติดเชื้อ หรือผู้สุ่มเสี่ยงว่าจะเป็น ก็มีนักวิจัย หรือหลายๆ หน่วยงานคิดค้นนวัตกรรมเพื่อแก้ปัญหานี้ โดยการใช้หุ่นยนต์ มีหลายๆ ประเทศที่ใช้หุ่นยนต์ช่วยคัดกรองคนเข้าประเทศ ส่งอาหาร ยา ให้แก่ผู้ป่วย พร้อมกับฟอกอากาศและพ่นยาฆ่าเชื้อไวรัสไปด้วย หรือใช้ กล้องตรวจ รวมถึงคุยสอบถามอาการผู้ป่วยแบบวิดีโอคอลได้จากระยะไกล
การขนส่งอีกอย่างหนึ่งที่น่าสนใจคือการใช้ ‘โดรน’ โดยบริษัทหนึ่ง ในแคลิฟอร์เนีย นำโดรนมาใช้ขนส่งชุดตรวจ COVID-19 และชุด PPE ในประเทศรวันดาและกานา โดยสามารถขนส่งในระยะทางไกลถึง 85 กิโลเมตร ในเวลาเพียงแค่ 30 นาที ซึ่งหากส่งได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งส่งผลดี ต่อการช่วยชีวิตผู้ป่วย พูดได้ว่าสถานการณ์ COVID-19 ทำให้คนมีมุมมอง ต่อโดรนเปลี่ยนไป คือสามารถเชื่อถือ ไว้วางใจได้ เพราะในยุคแรกเริ่ม ของการใช้โดรน มักจะถูกมองว่าเป็นอาวุธ หรืออุปกรณ์ถ่ายภาพ เมื่อนำโดรนมาส่งสิ่งของ คนจึงกังวลในเรื่องเทคโนโลยีว่ายังไม่เสถียรพอ ในระดับที่ไว้วางใจได้ อีกทั้งยังมีผลด้านสังคม เช่น ความเป็นส่วนตัว และเสียงรบกวนอีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีนักวิจัยของมหาวิทยาลัยหนึ่งในอิสราเอล ได้ประดิษฐ์คิดค้น ‘หน้ากากทำความสะอาดตัวเอง’ ซึ่งมีรูปลักษณ์คล้ายหน้ากากทั่วๆ ไป แต่พิเศษตรงที่สามารถทำความสะอาดตัวเองได้ภายในเวลา 30 นาที โดยตัวหน้ากากจะมีหัว USB เพื่อใช้เชื่อมต่อกับอุปกรณ์อย่างสายชาร์จโทรศัพท์มือถือ โดยขณะชาร์จไฟนั้น เส้นใยคาร์บอนในหน้ากากก็จะมีอุณหภูมิสูงกว่า 80 องศาเซลเซียส ซึ่งร้อนพอจะฆ่าเชื้อไวรัสและเชื้อโรคต่างๆ ได้ โดยหลักๆ แล้วต้องการนำมาช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงการนำกลับมาใช้ได้อีก เช่นเดียวกับ ประเทศเดนมาร์กที่มีการทดลองใช้หน้ากากฆ่าเชื้อโรคได้เอง โดยในหน้ากากมีเส้นใยออกไซด์ของเหล็กถักทอ อยู่ด้วย เมื่อถูกรังสีอัลตราไวโอเลตจะทำให้ฆ่าเชื้อโรคได้ตลอดเวลา โดยแสงยูวีจะได้จากหลอดยูวีที่มีสายต่อ กับขั้วแบตเตอรี่ ซึ่งแนวคิดนี้สามารถนำไปใช้กับวัสดุอุปกรณ์อื่นๆ หรือจุดที่คนเราสัมผัสมากได้อีกด้วย เช่น ลูกบิดประตู แต่แรกเริ่มนั้น ผู้ทำการวิจัยจะนำมาใช้กับผนัง กำแพง ประตู หรือบริเวณที่มีพื้นผิวใหญ่ๆ แต่เนื่องจาก COVID-19 จึงเป็นโอกาสที่นักวิจัยนำมาทดลองทำกับหน้ากาก เพราะในอนาคตจะต้องมีหน้ากาก อนามัยใช้แล้วทิ้งเป็นจำนวนมาก ต้องใช้กันทุกวัน หากมีการผลิตและจำหน่ายให้คนทั่วไปได้ซื้อใช้กันแล้วก็จะ สามารถลดปริมาณขยะได้เป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
การใช้ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI มาช่วยประมวลผลและทำนายความน่าจะเป็นของโรค อย่างประเทศแคนาดาที่ใช้อัลกอริทึมการประมวลผลทางภาษาเพื่อกลั่นกรองรายงานข่าวถึง 65 ภาษาจากทั่วโลก การใช้ข้อมูลจากสายการบินและข้อมูลการระบาดของโรคจากสัตว์เป็นปัจจัยประกอบการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อพยากรณ์การระบาดของเชื้อไวรัส การใช้เทคโนโลยีที่ชื่อว่า Convolutional Neuron Network เพื่อจำแนกผลของภาพจากการเอกซเรย์ปอดของผู้ป่วยว่าปอดแบบนี้เกิดจากแบคทีเรีย ไวรัสอื่นๆ หรือ COVID-19 ซึ่งคล้ายๆ กับซูเปอร์คอมพิวเตอร์เถียนเหอ 1 (Tianhe-1) ของจีนที่ให้แพทย์ทั่วโลกเข้าถึงข้อมูลการรักษาเพื่อวินิจฉัยผลการสแกนหน้าอกของผู้ป่วยภายใน 10 วินาที
แต่สิ่งที่ต้องการมากที่สุดในตอนนี้คือ วัคซีน เพื่อหยุดยั้งการระบาด และเพื่อการรักษา ป้องกันมนุษย์จาก COVID-19 ซึ่งคงต้องใช้ศักยภาพ ของปัญญาประดิษฐ์เพื่อหาทางผลิตวัคซีน หลายๆ ประเทศต่างให้ ความสำคัญและเร่งหาทางผลิตวัคซีนออกมาให้เร็วที่สุด เพราะไม่ใช่ ประโยชน์ในเรื่องทางการแพทย์และสาธารณสุขเท่านั้น แต่หากใคร ค้นพบก่อน สิ่งที่ตามมาคือผลประโยชน์ในด้านธุรกิจที่สร้างเม็ดเงิน เข้าประเทศเป็นจำนวนมหาศาล หลายๆ บริษัทจึงยังมีความคาดหวัง
ที่จะใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อค้นหาวัคซีนชนิดใหม่อยู่ แต่ตอนนี้ยังไม่มีใคร ยืนยันได้ว่าวัคซีนสำหรับ COVID-19 ที่เกิดจากปัญญาประดิษฐ์จะประสบ ความสำเร็จแค่ไหน และต้องใช้เวลาเท่าใดกว่าจะผลิตออกมาใช้แล้ว ได้ผล 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งอาจเป็นเพราะปัญญาประดิษฐ์ยังไม่มีข้อมูล ที่มากพอสำหรับการเรียนรู้และประมวลผล เนื่องจาก COVID-19 เป็นโรคระบาดใหม่ และตามปกติแล้วปัญญาประดิษฐ์จะถูกพัฒนา เพื่อธุรกิจด้านอื่นมากกว่าด้านสาธารณสุข ประเทศมหาอำนาจของโลก
ในตอนนี้จึงต่างแข่งขันกันค้นคว้าและพัฒนาวัคซีนเพื่อป้องกัน COVID-19 ท่ามกลางความหวังของคนทั้งโลกที่ต้องการทั้งยาและวัคซีน อย่างประเทศ รัสเซีย ที่ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ประกาศว่ารัสเซียเป็นผู้สร้างวัคซีน COVID-19 ที่ได้รับการจดทะเบียนเป็นประเทศแรกของโลก โดยมีชื่อว่า ‘สปุตนิก 5’ (Sputnik 5) ซึ่งผลิตโดยสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ด้าน ระบาดวิทยาและจุลชีววิทยา โดยเริ่มทดลองใช้แล้วเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2563 แต่ต้องรอผลการทดลองไปอีก 6 เดือน ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WΗΟ) และนักวิทยาศาสตร์หลายคนกังวลว่ารัสเซียใช้วัคซีนเร็วเกินไปจนอาจ ก่อให้เกิดอันตรายได้ ถึงแม้จะยังไม่ได้ผลที่แน่นอน แต่ตอนนี้ก็มีอย่างน้อย 20 ประเทศให้ความสนใจที่จะใช้วัคซีน ‘สปุตนิก 5’ นี้
ส่วนจีนก็จดสิทธิบัตรวัคซีน COVID-19 ฉบับแรกให้กับวัคซีนที่มีชื่อว่า ‘เอดี5−เอ็นคอฟ’ (Ad5-nCOV) เป็นการพัฒนาวัคซีน COVID-19 จากการตัดต่อสารพันธุกรรม เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน หรือแอนติบอดีในร่างกาย ด้วยการใช้เชื้อไวรัสอะดีโน ที่ทำให้เกิดโรคหวัด อ่อนๆ ร่างกายของเราก็จะสามารถจดจำลักษณะทางพันธุกรรมของเชื้อ ไวรัส และสามารถต่อสู้กับเชื้อ COVID-19 ได้ หากได้รับเชื้อในอนาคต
สหรัฐอเมริกาเองก็ไม่ยอมแพ้ ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพแห่งชาติ เปิดเผยว่าวัคซีน COVID-19 ที่ได้รับการสนับสนุนจากโครงการ ‘ปฏิบัติการ วาร์ป สปีด’ (Operation Warp Speed) กำลังอยู่ในขั้นทดลองระยะสุดท้าย กับอาสาสมัครกว่า 30,000 คน เพื่อยืนยันประสิทธิภาพวัคซีน นอกจากนี้ ยังมีบริษัทในเครือของ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน กำลังทดลองวัคซีน ต้านไวรัสที่ชื่อ Αδ26.ΧΟς2.Σ ถ้าสำเร็จจะสามารถผลิตได้ถึง 100 ล้านโดส และนำมาใช้ในช่วงปลายปี 2563 หรือต้นปี 2564
ด้านมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด แห่งประเทศอังกฤษ และบริษัท แอสตร้า เซนเนก้า จำกัด ได้กล่าวถึงผลการทดลองการผลิตวัคซีนในเฟส 1 และ 2 ที่ประสบผลสำเร็จ ชื่อว่า ‘ChAdOx1 nCoV-19’ ซึ่งทดลองกับกลุ่ม ตัวอย่าง 1,077 ราย และพบว่ากลุ่มตัวอย่างสามารถสร้างแอนติบอดี ที่สามารถต่อสู้กับ COVID-19 โดยเกิดผลข้างเคียงเพียงเล็กน้อย ซึ่งสามารถแก้ได้โดยกินยาพาราเซตามอล และไม่มีอาการร้ายแรงแทรกซ้อน ซึ่ง WΗΟ ได้กล่าวว่าจากที่ขณะนี้มีการผลิตวัคซีนป้องกัน COVID-19 ทั่วโลกประมาณ 160 ตัวอย่าง แต่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด−แอสตร้า เซนเนก้า ถือเป็นกลุ่มแนวหน้าที่จะผลิตวัคซีนสำเร็จเป็นอันดับต้นๆ
โรคระบาดหลายต่อหลายครั้งในประวัติศาสตร์ถือเป็นหลักฐานอย่างดี ที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่มีอยู่ของมนุษย์ ทำให้เกิดการเรียนรู้ พัฒนา สร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อรับมือกับปัญหา ไม่ว่าจะร้ายแรงแค่ไหน จากแค่พื้นฐานคือการรักษาระยะห่างและการใส่หน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันตัวเองและช่วยไม่ให้แพร่ระบาดไว้ก่อน
แต่วิกฤตระดับโลกอย่าง COVID-19 นี้ ก็เหมือนเป็นพลัง หรือตัวเร่งให้เรานำนวัตกรรมเพื่ออนาคตมาใช้ใน ปัจจุบัน ถึงแม้บางทีอาจจะไม่ได้แก้ปัญหาได้รวดเร็ว ทันใจตามที่คาดหวังไว้นัก แต่มนุษย์ย่อมพัฒนา ปัญญาประดิษฐ์และนวัตกรรมใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา เพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันในยามที่โลกอยู่ใน ภาวะไม่ปกติ
ที่มา:
- www.accenture.com/us-en/insights/technology/tech-vision-coronavirus-trends
- www.bbc.com/news/in-pictures-52564371
- www.bbc.com/thai/features-52453618
- www.un.org/sites/un2.un.org/files/2020-06_-_unin_quarterly_innovation_update_-_second_covid-19_special_edition.pdf
- https://forbesthailand.com/news/other
- https://news.trueid.net/detail/6MAeRbYP2e6M
- สำนักข่าวไทยพีบีเอส