
ข้างๆ ถนน Street Culture : Live on the road
ถึงแม้รูปภาพเสือดำจะใช้ชีวิตอยู่บนกำแพงได้ไม่นานเหมือนกับชีวิตจริงของมันที่ดับสิ้นลงในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ากลางอุทยานแห่งชาติแต่ผลงานกราฟฟิตี้ชิ้นนี้ของ ‘Headache Stencil’ กลับเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันในวงกว้าง และสร้างความกังขาแก่ผู้สร้างผลงานและประชาชนทั่วไปว่า เหตุใดภาพจึงถูกลบ ตามความเป็นจริงแล้ว ในแง่ของงานกราฟฟิตี้ การลบภาพเก่าแล้วพ่นภาพใหม่ทับลงไป หรือที่เรียกกันว่า‘บอมบ์’ นั้น จะเป็นเรื่องปกติที่ศิลปินเหล่านี้รู้ๆ กันอยู่ แต่สำหรับงานนี้มันมีนัยแฝงอยู่ การสร้างสรรค์ภาพหรือข้อความบนกำแพงแสดงถึงความไม่เงียบ มันเป็นการเรียกร้อง ฟ้องร้อง ขอร้อง ต่อสังคมให้ตระหนักถึงปัญหา สิทธิเสรีภาพ ความยุติธรรม ที่เราไม่สามารถแสดงออกทางกายภาพได้ แต่แสดงออกทางความคิดผ่านภาพได้ และภาพนั้นไม่ได้อยู่แค่กับเรา แต่จะปรากฏแก่สายตาสาธารณชน ทีนี้ก็แล้วแต่ว่าใครบ้างที่เห็น เห็นแล้วจะคิดต่ออย่างไร อยากจะเอาภาพเสือดำไปไว้กับภาพนาฬิกา (แพง) หรืออยากจะร่วมบรรเลงไปด้วยอย่าง Alex Face กับรูปน้องสามตาในคราบเสือดำผสมพิน็อกคิโอ จมูกยื่นยาวเมื่อโกหกแถมมีเงินปลิวว่อน จนเราปฏิเสธไม่ได้ว่าพื้นที่เหล่านี้เป็นการปลดปล่อยและแสดงออกของมือพ่น ที่ล้วนสะท้อนให้สังคมฉุกคิด พูด กระพือ และกระทำ ซึ่งก็เหมือนที่มาของงานกราฟฟิตี้ที่เริ่มมีตั้งแต่ ค.ศ. 1960 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อคนผิวสีและกลุ่มคนที่ยากจนออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมและแสดงออกถึงความคิดต่อต้านสังคมผ่านกราฟฟิตี้ด้วยการพ่นสีสเปรย์เป็นสัญลักษณ์หรือคำด่าทอ ในรูปแบบดิบ หยาบแสดงความเป็นขบถ ตามถนนหนทาง อาคาร รถไฟ จนคนมองกราฟฟิตี้เป็นการก่อกวน ป่าเถื่อน ไร้อารยธรรม และความเสื่อมทรามของสังคม
เมื่อยุคสมัยผ่านไปกราฟฟิตี้ได้แพร่หลายผ่านสื่อในรูปแบบต่างๆอีกทั้งสังคมวัฒนธรรมต่างชนชาติได้แผ่ขยายแทรกซึมเข้าหากันและกัน รูปแบบความคิด การแสดงออกก็ปรับเปลี่ยนไป มีการออกแบบกราฟฟิตี้โดยพ่นชื่อหรือนามแฝง มีการใช้ทักษะ เทคนิคที่ซับซ้อนบวกกับจินตนาการที่ไร้ขีดจำกัด จนเกิดเป็นงานศิลปะสตรีทอาร์ต (Street Art) ที่ต่างคนต่างแสดงฝีมือและไอเดียมาโชว์กัน เช่น Banksy ศิลปินชาวอังกฤษผู้ลึกลับ ชอบสร้างผลงานแนวเสียดสีสังคม, Boa Mistura ชาวสเปนที่ชักชวนเด็กๆ ในชุมชนแออัดของบราซิลมาร่วมกันทำกราฟฟิตี้สามมิติและ Os Gemeos ศิลปินกราฟฟิตี้สุดแนวชาวบราซิล ที่ฝากผลงานฟุตบอลโลกบนเครื่องบิน อวดสายตาผู้คนมากมายผ่านท้องฟ้า
ไม่เฉพาะในโลกตะวันตกเท่านั้นที่กราฟฟิตี้ สตรีทอาร์ตเฟื่องฟู ทางฝั่งเอเชียก็รับกระแสงานศิลปะข้างถนน หรือจะเรียกให้ดีๆ คือ ‘ศิลปะบาทวิถี’ กันมาไม่น้อย ประเทศไทยเองก็มีศิลปินและผู้ที่คลั่งไคล้อยู่เป็นจำนวนมาก จากแรกๆ ที่คนมองในแง่ลบ ว่าเป็นทัศนอุจาด กวนเมืองเพราะชอบพ่นแสดงความเป็นบุพการี คำและสัญลักษณ์ที่หยาบคายแต่ต่อมาผู้ที่ชื่นชอบอย่างจริงจังได้พัฒนาฝีมือและความคิด สร้างเป็นรูปภาพ ลวดลาย สีสันที่ซับซ้อน แสดงถึงเอกลักษณ์ตัวตนของศิลปินแต่ละคน ทำให้กราฟฟิตี้เริ่มเป็นที่รู้จักกันในวงกว้าง จนเทศกาลศิลปะชื่อดังนานาชาติต่างพากันแวะเวียนมาจัดที่ไทย เช่น Meeting Of Styles (MOS) ที่มีศิลปินกราฟฟิตี้และสตรีทอาร์ตนานาชาติ มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ผลงาน และวัฒนธรรม, K-BATTLE International Hiphop Festival 2017 และที่เพิ่งมีไปไม่นานมานี้ คือ บางกอกแหวก แนว (Bangkok Edge Festival) งานที่เต็มไปด้วยสาระและบันเทิงมุ่งสร้างเสริมให้คนได้เรียนรู้แนวคิดและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ณ จักรพงษ์วิลล่า มิวเซียมสยาม และโรงเรียนราชินี หรือจะเป็นโปรเจกต์ดัง ‘บุกรุก’ (Urban Arts Festival) เทศกาลศิลปะข้างถนน ซึ่งมาจัดที่เมืองไทยเป็นครั้งที่ 2 แล้ว เมื่อต้นปี 2559 โดยเป็นการแสดงผลงานจากศิลปินสตรีทอาร์ตทั่วโลกที่บินข้ามน้ำข้ามทะเลมาร่วมกันสร้างสรรค์งานศิลปะลงบนกำแพง ผนังตึก และสถานที่ต่างๆ ในย่านเจริญกรุง ตลาดน้อยทรงวาด ซึ่งย่านนี้ถือเป็นพื้นที่หนึ่งที่มีพื้นที่ทางศิลปะ (Art Space)ตั้งอยู่จำนวนไม่น้อย และคนในพื้นที่พยายามผลักดันให้เป็น CreativeDistrict หรือพื้นที่สร้างสรรค์ของกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นการค้นพบว่าประเทศไทยเองก็มีศิลปินกราฟฟิตี้ที่มีฝีมือไม่น้อยหน้าต่างชาติเลย โดยเฉพาะเจ้าของผลงาน น้องมาร์ดี ซึ่ง ณ ตอนนี้ แฟนๆ สตรีทอาร์ตเมืองไทยคงไม่มีใครไม่รู้จัก Alex Face หรือ คุณพัชรพล แตงรื่น ที่ฝากผลงานเด็กสามตาหน้าบึ้งตามผนังตึกทั่วประเทศไทยและเดินทางไปแสดงผลงานมาแล้วหลายประเทศในเอเชียและยุโรป จนมีชื่อเสียงโด่งดังถึงขนาดเอาไปทำสินค้า อย่างกระเป๋า หรือรองเท้าแนวสตรีทๆ
Alex Face เคยมาร่วมเสวนาพูดคุยกับชาว ททท. เรื่อง ‘Street Cultureกับการท่องเที่ยวไทย’ โดยได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสตรีทอาร์ตว่า“งานศิลปะแนวนี้ไม่ต้องเช่าแกลเลอรี ไม่ต้องลงทุน แต่คนชมได้เป็นจำนวนมาก เพราะเป็นพื้นที่สาธารณะ โดยการเลือกสถานที่นั้นก็จะเลือกตามที่ตนเองชอบ หรือพื้นที่ที่มีผู้จัดเตรียมไว้ให้ รูปแบบในการทำงานก็จะขึ้นอยู่กับสถานที่ สภาพแวดล้อม ศิลปวัฒนธรรม วิถีชีวิตเอกลักษณ์ ความเชื่อ แล้วนำมาตีความออกมาเป็นไอเดียในการผลิตผลงาน ทำให้ผู้คนสามารถเข้าถึงและเข้าใจได้ง่ายขึ้น แต่ก็ยังมีปัญหาอยู่บ้าง เพราะบางพื้นที่ผู้คนมีความคิดเห็นไม่เหมือนกัน คือมีทั้งคนชอบและคนไม่ชอบ จนต้องหาทางแก้ปัญหาเพื่อขจัดความขัดแย้งให้หมดไปและคนบางกลุ่มยังมองว่างานแนวนี้เป็นการทำลาย ก่อกวน ไม่สวยงามไม่สร้างสรรค์ เคยมีนักจิตวิทยาให้ความคิดเห็นว่า การพ่นกำแพงทำให้เมืองดูสกปรก เป็นการกระตุ้นให้เกิดอาชญากรรม แต่ทั้งนี้มันขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ เป้าหมาย การแสดงออกที่ต่างกันของศิลปินแต่ละคน และการจัดการของแต่ละสถานที่ ชุมชน แต่ไม่ว่าจะเป็นที่ใดก็มักถูกวิพากษ์วิจารณ์และได้รับคำชมไปพร้อมๆ กันเสมอ” นอกจากนี้ Alex ยังกล่าวถึงอนาคตของสตรีทอาร์ตเมืองไทยว่า จะพัฒนาหรือต่อยอดไปได้มากแค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับเนื้อหามุมมอง การนำเสนอ ว่าเป็นประโยชน์หรือโดนใจคนมากน้อยแค่ไหน มากกว่าจะเป็นรูปแบบในการพ่น ซึ่งตอนนี้สตรีทอาร์ตกำลังอินเทรนด์ แต่งานแบบนี้ก็ไม่ยั่งยืน หากมีการท่องเที่ยวแบบทำทัวร์สตรีทอาร์ตนั้น ก็มีความเป็นไปได้ แต่อาจจะไม่ทำกันแบบจริงจัง เนื่องจากแต่ละที่นั้นอยู่ห่างกัน ไม่สะดวกในการเดินทาง
ถึงประเทศไทยจะไม่มีทัวร์แบบต่างประเทศ อย่างที่ประเทศบราซิลมี Rio Street Art Tour หรือที่เด็ดไปกว่านั้น คือ Favela Tour คือทัวร์ชุมชนแออัด ที่เปิดเผยความเป็นอยู่ของชาวสลัมอย่างแท้จริง AlternativeStreet Art Tours ที่เบอร์ลิน หรือจะเพื่อนบ้านใกล้ๆ เราอย่าง ปีนังประเทศมาเลเซีย ที่มีสตรีทอาร์ตแนว Interactive Painting คือภาพวาดที่มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมในบริเวณนั้นๆเข้ามามีส่วนร่วมอยู่ในงานซึ่งเป็นต้นแบบให้ไทยทำศิลปะแนวนี้ขึ้นมาในหลายๆ เมือง ก็ทำแผนที่ให้นักท่องเที่ยวได้เดินชมสตรีทอาร์ตกันครบทุกจุด แต่จากเทศกาลบุกรุก นั้น ก็ทำให้เห็นว่ากระแสสตรีทอาร์ต จุดติดเรียบร้อยแล้วในประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวชาวไทยจำนวนไม่น้อยชวนกันไปเดินล่าหางานกราฟฟิตี้ ที่เจริญกรุง ทรงวาด ตลาดน้อย สุรวงศ์ เดโช จนทำให้ย่านบางรัก และเยาวราช กลายเป็นจุดเช็กอินและเซลฟี่ของเหล่าสาวกสตรีทอาร์ต นักท่องเที่ยวทั้งไทยเทศไปปั่นจักรยาน หรือใช้การเดินทางที่หลากหลายอย่างรถไฟฟ้าเพื่อไปชมกราฟฟิตี้ที่จุดอื่นๆ เช่นที่ สถานีลาดพร้าว สถานีสามย่าน หรืออย่างโครงการ Invisible Thailand กิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาจุดอับ จุดก่ออาชญากรรม ปรับทัศนียภาพในกรุงเทพฯ โดยใช้กราฟฟิตี้สร้างสีสันบนกำแพงริมคลองแสนแสบ
คงพูดได้ว่า สตรีทอาร์ต ตอนนี้ไม่ใช่ดังแค่กรุงเทพฯ หรือเมืองใหญ่ๆอย่าง ภูเก็ต เชียงใหม่ ขอนแก่น เท่านั้น หลายๆ ที่ก็มีสตรีทอาร์ตให้ไม่ตกเทรนด์อย่าง Korat Street Art, Nakhonsawan Street Art Project แม้แต่ที่ ยะลา ที่ได้สตรีทอาร์ตไปพลิกฟื้นให้เมืองมีสีสันมีการเคลื่อนไหว ดังนั้นแทบทุกจังหวัดที่หน่วยงานรัฐฯ และเอกชนต่างตื่นตัว อำนวยความสะดวกและงบประมาณเพื่อติดต่อศิลปินให้มาแสดงผลงาน หรือพวกโรงแรม รีสอร์ท ก็ว่าจ้างให้มาทำผลงานเพื่อเป็นการตกแต่งสถานที่ เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าถ้าไม่มีกราฟฟิตี้ โรงแรมของท่านจะต้องพลาดลูกค้า นักท่องเที่ยวผู้รักงานศิลป์และชาวฮิปสเตอร์ไปอย่างแน่นอน รวมถึงยังเป็นการสร้างงาน สร้างรายได้เพิ่มขึ้นแก่พ่อค้าแม่ค้าตามกฎอุปสงค์อุปทานอีกด้วย
สตรีทอาร์ต จึงเป็นงานศิลปะที่นำเสนอมุมมองและความคิดเห็นบางอย่างที่มีต่อสังคมยุคปัจจุบัน เป็นสื่อกลางส่งต่อข้อความไปยังผู้ที่ได้พบเห็นได้นำไปขบคิดต่อ เป็นงานศิลปะข้างถนนที่สร้างสีสันทำให้เมืองมีชีวิตชีวาเป็นการสร้างแลนด์มาร์กดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศให้เดินทางไปเยี่ยมชม ถ่ายภาพแล้วแชร์กันสนั่นโลกออนไลน์ เป็นตัวสร้างอีเวนต์นอกจากนี้ ยังเป็นการจรรโลงและสร้างสรรค์สังคม แต่ต้องทำให้ถูกที่ถูกเวลา ซึ่งเราคงต้องคอยดูกันต่อไปในอนาคตว่า สตรีทอาร์ตจะอยู่คงทนตลอดไปบนกำแพง หรือเสื่อมถอยโดนบอมบ์ให้หายไปจากประเทศไทย ศิลปินจะยกระดับฝีมือให้เป็นงานศิลป์แนวไหนและกระแสใดที่คนไทยเลือกที่จะตาม หรืออาจเลือกที่จะพัฒนาและสร้างกระแสของเราขึ้นมาเอง…
เรื่องโดย : พัชรวรรณ วรพล บรรณารักษ์ 3 กองวิจัยการตลาด ททท.