
LGBT Tourism: Thailand as a vagaytion
Gay Guide 1980 : Thailand as a vagaytion ในปี 2523 หนังสือท่องเที่ยวสำหรับ LGBT ที่ชื่อ Spartacus International Gay Guide 1980 อธิบายว่าประเทศไทยเป็นสรวงสวรรค์ของเกย์ กลายเป็นลายลักษณ์อักษรชิ้นแรกที่พูดถึงไทยในฐานะ vagaytion อีกแห่ง เนื่องด้วยสถานบันเทิงแหล่งท่องเที่ยวยามค่ำคืน (Nightlife) ดกดื่น และการแสวงหาความหฤหรรษ์ทางเพศอย่างง่ายดาย โดยเฉพาะกรุงเทพฯ และเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต หรือพัทยา นอกเหนือจากวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ แปลกตาแบบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อันเป็นอัตลักษณ์ที่ถูกสร้างขึ้นช่วงสงครามเย็นเป็นทุนเดิม
แม้ว่าจะยังไม่มีกฎหมายรองรับการสมรสคนเพศเดียวกัน แต่ไทยก็ไม่มีกฎหมายห้ามรักเพศเดียวกันไปแล้วตั้งแต่ปี 2499 ผู้คนก็มีความอดทนต่อความหลากหลายทางเพศสูง เพราะคนรักเพศเดียวกันถูกมองว่าเป็นคนตลก คนป่วย หรือเป็นเพราะผลกรรมในมิติศาสนา น่าเห็นใจและสงสารมากกว่าที่จะต้องกำจัด และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 21 เป็นต้นมา ไทยก็ถูกอธิบายว่าเป็นประเทศ LGBT friendly มากขึ้น เพราะพื้นที่สำหรับความหลากหลายทางเพศโดดเด่นและเติบโตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากอินเทอร์เน็ตทำให้ LGBT สร้างเครือข่ายกันง่ายขึ้น นักวิชาการและ NGO ก็ขยันขันแข็ง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจและการพาณิชย์กระแสหลักเริ่มนำวัฒนธรรม LGBT มาไว้บนดินแทนใต้ดินอย่างแต่ก่อน โดยเฉพาะหลังสิ้นสุดของนโยบายรัฐบาลในการจัดระเบียบสังคม สถานเริงรมย์สำหรับ LGBT เพิ่มปริมาณมากขึ้นแบบก้าวกระโดด มีงานแดนซ์ปาร์ตี้ชาวเกย์ระดับสากลในภูเก็ตบ้างกรุงเทพฯ บ้าง ส่วนใหญ่เป็นวัฒนธรรมเกย์และกะเทยที่ถูกทำให้เป็นสินค้ามากกว่าเพศวิถีเพศสภาพอื่นๆ จนทำให้ไทยเป็นที่รู้จักในฐานะเป็นเมืองหลวงชาวเกย์แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียตะวันออก
The first gay bar in Thailand
การกลายเป็นแลนด์มาร์กของเกย์ทั่วโลกแห่งหนึ่งของสีลม ถือได้ว่าเป็นผลผลิตและภาพตัวแทนของการตอบรับวัฒนธรรมอเมริกันภายใต้บริบทสงครามเย็น ที่ปรับโฉมสีลมให้เป็นย่านธุรกิจท่องเที่ยวบันเทิงสำคัญ เช่นเดียวกับพัทยา เจริญกรุงเริ่มมีเกย์บาร์แห่งแรก ตามมาด้วยสีลม จากนั้นสถานบันเทิงเกย์ก็ผุดพรายขึ้นเรื่อยมาจากสีลมถึงพัฒนพงษ์และสุรวงศ์ ก่อนจะเข้าสู่ยุคทองในปลายทศวรรษที่ 2520 ที่แหล่งท่องเที่ยวของเกย์กระจายไปยังย่านพลุกพล่านอื่นๆ เช่น สุขุมวิท สะพานควาย ประดิพัทธ์ และรามคำแหง เกิดชุมชน LGBT และวัฒนธรรมย่อยมากมาย
สีลมในฐานะที่พึ่งทางใจของชาว LGBTQ
อย่างไรก็ดี สีลมใช่ว่าเป็นเพียงแหล่งพบปะสังสรรค์ของชาวเกย์ขนาดใหญ่ หากแต่ยังเป็นสถานที่พึ่งทางจิตใจของชาว LGBTQ ด้วยคือ วัดพระศรีมหาอุมาเทวี หรือ ‘วัดแขกสีลม’ เทวสถานที่มีมาตั้งแต่ปี 2453 ก่อนสีลมจะเป็นย่านธุรกิจและชุมชนเกย์เนื่องจากวัฒนธรรมย่อยของชาวเกย์และสาวประเภทสองที่นิยมบูชาเทพเจ้าฮินดูเพศหญิง ด้วยความเชื่อว่าพระแม่เมตตาต่อเพศสภาพเพศวิถีที่หลากหลาย มากกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์และคำสอนตามศาสนาอื่น ที่มักตีตราพวกเขาและเธอ
และโดยเฉพาะในช่วงเทศกาล ‘นวราตรี’ คืนขึ้น 1-9 ค่ำ เดือน 11 ตามปฏิทินจันทรคติ ที่วัดมีขบวนแห่พระแม่มารีอัมมันบนถนนสีลม นอกเหนือพิธีกรรมที่เต็มไปด้วยมนตร์ขลังตื่นตาตื่นใจ ตลอดระยะทางของขบวนแห่อันยาวไกลจะเนืองแน่นไปด้วยเกย์กะเทยตั้งโต๊ะบูชาตกแต่งเป็นซุ้มต้อนรับขบวนแห่และขอพรอย่างวิจิตรพิสดาร หลายคนคอสเพลย์เป็นเทพเจ้าฮินดู ระบำรำฟ้อนเพื่อแสดงความเคารพพระแม่ และประกวดแข่งขันความอลังการกันเอง กลายเป็นอีกเทศกาลหนึ่งที่ชาว LGBTQ มาร่วมงานอย่างคับคั่งมากกว่างานเกย์ไพรด์ที่เคยจัดบนถนนสีลม
อย่างไรก็ดี vagaytion แห่งนี้ยังคงเน้นเฉพาะวัฒนธรรมบริโภค บริการบันเทิงเพื่อตอบสนองเพศวิถี เช่น เซาน่า เกย์บาร์ คาราโอเกะ สปา คลับ ปาร์ตี้อีเวนต์ ในฐานะหลุมหลบภัยโลกภายนอกที่ยังคงเป็นรักต่างเพศนิยม (heterosexist) อยู่ บางสถานที่เที่ยวจึงต้องการความเป็นส่วนตัวสูงและเฉพาะเพศวิถีเพศสภาพเท่านั้น เช่น เซาน่าเกย์จึงห้ามผู้หญิงเข้า หรือเลสเบี้ยนบาร์ก็ไม่อนุญาตให้ผู้ชายเข้า แม้แต่เกย์บางคนที่ไม่ออกสาวก็เข้าไม่ได้
อย่างไรก็ดี ยังไม่มีแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์หรือการศึกษาเกี่ยวกับเควียร์ (Queer Studies) เช่น พิพิธภัณฑ์โบราณสถาน สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ อนุสรณ์สถานเพื่อความหลากหลายทางเพศ เช่น ที่แบร์ลินที่มีพิพิธภัณฑ์ อนุสรณ์สถานคนรักเพศเดียวกัน และมีอีกหลายแห่งที่เป็นจุดดึงดูด LGBT tourism ได้
เกาะเสม็ด
สถานที่ท่องเที่ยว gay friendly ไม่ได้กระจุกในกรุงเทพฯ เท่านั้น เกาะเสม็ด จังหวัดระยอง ก็ถือได้ว่าเป็นเกาะสวาทหาดสวรรค์ของชายรักชาย นักท่องเที่ยวเกย์จำนวนมากเดินทางมาพักผ่อนสังสรรค์ ในช่วงเทศกาลวันหยุดยาว ที่อุปสงค์สูงกว่าอุปทานจนต้องจองบังกะโลรีสอร์ตล่วงหน้าข้ามเดือน
เนื่องจากเหตุผลทางภูมิศาสตร์ที่เสม็ดมีหาดทรายขาวละเอียดที่ลาดเอียงต่ำเหมาะแก่การเล่นน้ำ ไม่มีโขดหินอันตราย ทำให้เสม็ดมีที่พักร้านรวงและบาร์มากมาย อยู่ใกล้กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นพื้นที่มีประชากรเกย์อาศัยหนาแน่น และเพราะบาร์ริมหาด ‘ซิลเวอร์แซนด์บาร์’ ที่ดีเจเปิดเพลงศิลปินขวัญใจชาวเกย์จนกลายเป็นเกย์แลนด์มาร์ก และด้วยนักท่องเที่ยวชาวเกย์จำนวนมากที่เดินทางมาพักผ่อนก็พลอยทำให้บรรยากาศร้านรวงผับบาร์รีสอร์ตห้องพักในละแวกนั้น gay friendly ไปด้วย
และจากประวัติศาสตร์มุขปาฐะของผู้ประกอบการบางรายกล่าวว่าจุดเริ่มต้นเกย์แลนด์มาร์กของเสม็ดมาจากชายรักชายต่างชาติฐานะดีที่มักมาสังสรรค์พักผ่อนกับเพื่อนชายเป็นเวลานานๆ ทำให้เกาะเริ่มมีสีสันกลิ่นอาย LGBTQ บ้างก็ว่ากลุ่มลูกเรือสายการบินมักนัดมาเที่ยวทะเลที่นี่เป็นประจำทุกปี พร้อมกับชักชวนเพื่อนฝูงชายรักชายมาปาร์ตี้
เชียงใหม่
เชียงใหม่เป็นอีกเมืองท่องเที่ยวของชาว LGBTQ อันเป็นผลผลิตจากนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาลไทยอย่างจริงจังตั้งแต่ปี 2512 และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 4 (2520-2524) ทำให้กลายเป็นศูนย์กลางของภาคเหนือ ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากมีร้านรวง บาร์ เซาน่า สำหรับชายรักเพศเดียวกันไปจนถึงองค์กรพัฒนาเอกชนเพื่อความหลากหลายทางเพศ นำไปสู่การจัด Gay Pride ครั้งแรกในเชียงใหม่เมื่อวันเสาร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2552 อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ในครั้งนั้นกลับเกิดโศกนาฏกรรมแทน เมื่อม็อบผู้ต่อต้านความหลากหลายทางเพศ ประมาณ 200 คน พร้อมป้ายข้อความด่าทอและรถบรรทุกขนเครื่องขยายเสียง ปิดประตูพุทธสถานเชียงใหม่ซึ่งเป็นจุดนัดพบเริ่มต้นขบวนพาเหรด กักขังกลุ่มคนรักเพศเดียวกันและคนข้ามเพศไม่ให้เริ่มกิจกรรม และสกัดกั้นผู้ที่จะเข้าร่วมพาเหรดไม่ให้เข้าร่วมกิจกรรม
กลุ่มผู้อนุรักษ์นิยมในท้องที่อ้างว่าเกย์ไพรด์ทำลายวัฒนธรรมท้องถิ่นดั้งเดิมอันดีงามและภาพลักษณ์ความเป็นเมืองวัฒนธรรมของเชียงใหม่ต่างตะโกนสาปแช่งด่าทอ ขว้างปาข้าวของ ก้อนหิน แก้วน้ำ และเศษอาหารทำให้ทีมจัดเกย์ไพรด์บาดเจ็บส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 100 นายนอกจากไม่ห้ามปรามแล้วยังโน้มน้าวให้คณะจัดพาเหรดกล่าวขอโทษแล้วยุติกิจกรรม หลังจากถูกปิดล้อมในพุทธสถานเป็นเวลากว่า 4 ชั่วโมงผู้จัดงานถูกบังคับให้คลานออกมาขอโทษชาวเชียงใหม่ทั้งน้ำตา และบาดแผล หลังจากนั้นกลุ่ม LGBT จัดกิจกรรมทวงถามความยุติธรรมและความรับผิดชอบจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นที่ตั้งชื่อให้ว่า ‘เสาร์ซาวเอ็ด’
พุทธสถานเชียงใหม่จึงเป็นอนุสรณ์สถานรำลึกถึง ‘เสาร์ซาวเอ็ด’ เสมือนเหตุการณ์ Stonewall Riots ที่มาจากชื่อบาร์ Stonewall ในนิวยอร์ก ค.ศ. 1969 เพื่อหมุดหมายจลาจลรุนแรงครั้งใหญ่ของเจ้าหน้าที่รัฐรักต่างเพศนิยมกระทำต่อ LGBTQ จะต่างกันตรงที่ ‘เสาร์ซาวเอ็ด’ถูกทำให้มองไม่เห็นและลืมเลือนว่าครั้งหนึ่งมีจลาจลต่อต้านเกย์ไพรด์อย่างรุนแรง เพื่อกลับไปเชิดชูวาทกรรมที่ว่าประเทศไทยว่าเป็นประเทศ gay friendly
“Thailand, gay paradise” จึงเป็นเพียงมายาคติที่ทำหน้าที่เสมือนพรมผืนใหญ่ที่ซ่อนปัญหาความรุนแรง อยุติธรรม เลือกปฏิบัติทางเพศเช่นเดียวกับหน้ากาก ‘สยามเมืองยิ้ม’ ที่ใช้ตกแต่งประดับประเทศไว้เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวซึ่งนั่นก็เนียนพอที่จะทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าใจว่าเป็นความยอมรับความหลากหลายทางเพศ แต่แท้จริงแล้วเป็นเพียงการยอมรับและอดทนได้ในฐานะนักท่องเที่ยวและผู้บริโภค ที่สร้างรายได้ นำเงินเข้าประเทศ ไม่ใช่ในฐานะที่เป็นคนรักเพศเดียวกันหรือคนข้ามเพศ อย่างไรก็ดี LGBT tourism ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ในประเทศนี้ ซ้ำ LGBT tourism ในฐานะ Cultural Tourism ต่างหากที่จะเป็นอีกกระบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม ที่จะสร้างการยอมรับความหลากหลายทางเพศได้ เพราะการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมเป็นส่วนหนึ่งของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ไลฟ์สไตล์ไม่ใช่แค่การบริโภคเชิงการตลาดเฉพาะกลุ่มหรือเฉพาะบางสถานที่ แหล่งท่องเที่ยวหากแต่เป็น gay friendly จากสิ่งแวดล้อมต่อให้ไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวเฉพาะเพศวิถีเพศสภาพก็ตาม
ข้อมูลอ้างอิง
นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ. ขบวนการเคลื่อนไหวของเกย์ในสังคมไทยภาคปฏิบัติการและกระบวนทัศน์.กรุงเทพฯ: คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2553.
Atkins, Gary L. Imagining gay paradise : Bali, Bangkok, and cyber-Singapore.Hong Kong : Chiang Mai, Thailand : Hong Kong University Press ; Silkworm Books, 2012.
Jackson, Peter A. (edited) Queer Bangkok : twenty-first-century markets, media,and rights. Aberdeen, Hong Kong : Chiang Mai, Thailand : Hong Kong Univ.Press ; Silkworm Books, 2011.
Jackson, Peter A, Cook, Nerida M. (edited) Genders & sexualities in modern Thailand. Chiang Mai, Thailand : Silkworm Books, 1999.
TIPS
ว่าด้วย… LGBT / LGBTQ / LGBTIQ / LGBT +
คำเหล่านี้เป็นคำที่ใช้เรียกรวมๆ กลุ่มผู้ไม่ได้มีเพศสภาพเพศวิถีแบบรักต่างเพศ มีการกำหนดกลุ่มอักษรย่อ
LGBT ซึ่งย่อมาจาก L (Lesbian), G (Gay), B (Bisexual), T (Transgender) ต่อมาเพิ่ม Q (Queer หรือ Questioning))
ตั้งแต่ ค.ศ. 1988 กลุ่มนักเคลื่อนไหวสังคม ต้องการประกันความมั่นใจว่าจะไม่ละเลยตัวตนเพศสภาพเพศวิถีที่หลากหลาย จึงเพิ่มพยัญชนะต้นต่อท้ายขึ้นอ’ก เป็น LGBTIQ ซึ่งมาจาก I (Intersex) และ Q (Questioning หรือ Queer) และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มพยัญชนะมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อป้องกันไม่ให้การนิยามความหลากหลายทั้งเพศกว้างขวางไปมากกว่านี้ จึงเกิดการเสนอคำว่า Queer เพื่อเป็นร่มนิยามคำที่หมายถึงเพศวิถีเพศสภาพนอกกระแสหลักของสังคม ขณะเดียวกันก็มีการใช้ SOGI (Sexual Orientation and Gender Identity) แทนในบริบทว่าด้วยรสนิยมทางเพศและอัตลักษณ์ทางเพศที่มีความลื่นไหลและหลากหลายกว่า อย่างไรก็ตามในขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมไปจนถึงนโยบายภาครัฐต่างๆ นิยมใช้คำว่า LGBTQ อยู่โดยให้ Q คือ Queer ซึ่งก็หมายรวมถึง LGBT ด้วย ขณะที่ในบริบทของการท่องเที่ยวยังคงนิยมใช้คำว่า LGBT tourism หรือ Gay tourism ที่ Gay หมายรวมถึงชายรักชายและหญิงรักหญิง
เรียบเรียง ชานันท์ ยอดหงษ์