อาบน้ำร้อนมาก่อน

 

 

รศ. ดร.กฤตินี ณัฏฐวุฒิสิทธิ์

 

หน้าร้อนในประเทศไทย หนึ่งในกิจกรรมยอดนิยมของผู้คนคือการเดินทางท่องเที่ยว ซึ่งนำไปสู่การใช้คำว่า “Summer Vacation” หรือ “วันหยุดฤดูร้อน” ที่ได้รับความนิยมทั้งในไทยและทั่วโลก สถิติชี้ชัดว่าช่วงหน้าร้อนนี้ การเดินทางท่องเที่ยวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยช่วงเดือนเมษายนถึงมิถุนายน 2567 มีจำนวนผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยถึง 47.51 ล้านคน-ครั้ง เพิ่มขึ้น 12% จากปีก่อน สร้างรายได้กว่า 239,769 ล้านบาท (TAT Review Magazine, 2567) ปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นการเดินทาง ได้แก่ การปิดภาคเรียนฤดูร้อนที่ผู้ปกครองนิยมพาบุตรหลานท่องเที่ยว การมีวันหยุดยาวต่อเนื่อง เช่น เทศกาลสงกรานต์ และการจัดกิจกรรมหรือเทศกาลต่าง ๆ โดยเฉพาะประเพณีสงกรานต์ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติจาก UNESCO ทำให้บรรยากาศการท่องเที่ยวในประเทศยิ่งคึกคักมากขึ้น

 

ขณะเดียวกัน สถิติจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาระบุนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2567 สูงถึง 20.6 ล้านคน เพิ่มขึ้น 33% จากปีก่อน และสร้างรายได้กว่า 970,398 ล้านบาท (กรุงเทพธุรกิจ, 2567) ปัจจัยหลักที่ต่างชาตินิยมมาเที่ยวไทยในหน้าร้อน ได้แก่ ความหลากหลายของแหล่งท่องเที่ยว ทั้งทะเล ภูเขา และวัฒนธรรม ค่าครองชีพที่ประหยัด อาหารไทยที่มีชื่อเสียง สภาพอากาศร้อนที่เหมาะกับกิจกรรมกลางแจ้งและการอาบแดด รวมถึงภาพลักษณ์คนไทยที่เป็นมิตร นอกจากนี้ ช่วงวันหยุดฤดูร้อนของประเทศในยุโรปและเอเชียตะวันออก เช่น เกาหลีใต้และญี่ปุ่น ยังตรงกับฤดูร้อนของไทย ส่งผลให้นักท่องเที่ยวจากภูมิภาคเหล่านี้เดินทางมาเที่ยวไทยเป็นจำนวนมาก

 

หน้าร้อนในประเทศไทยไม่เพียงแต่เป็นช่วงเวลาที่ผู้คนออกเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นช่วงที่การใช้ทรัพยากร โดยเฉพาะพลังงานไฟฟ้า พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือในเดือนเมษายน 2566 ซึ่งอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 38-41 องศาเซลเซียส ส่งผลให้ยอดการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (Peak) ของประเทศแตะที่ 32,963 เมกะวัตต์ ทำสถิติใหม่เป็นครั้งที่สามของปี (Energy Thai Chamber, 2566) สาเหตุสำคัญมาจากสภาพอากาศที่ร้อนจัด ทำให้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ให้ความเย็น เช่น เครื่องปรับอากาศและตู้เย็น ต้องทำงานหนักกว่าปกติ ส่งผลให้การใช้พลังงานเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

 

สำหรับภาคการท่องเที่ยวพบความท้าทายสำคัญจากการใช้ทรัพยากรที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะการใช้พลังงานและน้ำเพื่อรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวที่มากขึ้น โรงแรม รีสอร์ต และสถานประกอบการต่าง ๆ จำเป็นต้องใช้ไฟฟ้าและน้ำในปริมาณมากสำหรับเครื่องปรับอากาศ ระบบทำความเย็น รวมถึงบริการอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ส่งผลให้ต้นทุนการดำเนินงานสูงขึ้น และยังเพิ่มการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นปัจจัยเร่งปัญหาโลกร้อนในระยะยาว นอกจากนี้ การใช้น้ำจำนวนมากในแหล่งท่องเที่ยวอาจนำไปสู่ภาวะขาดแคลนน้ำสำหรับชุมชนท้องถิ่น โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ประสบภัยแล้งหรือมีแหล่งน้ำจำกัด ผลกระทบทางอ้อมยังรวมถึงการเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ เช่น การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ การฟอกขาวของปะการัง และการเกิดไฟป่าในแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ ขณะเดียวกัน ปริมาณขยะจากกิจกรรมท่องเที่ยวก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและคุณภาพสิ่งแวดล้อม ปัญหาเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงวงจร “งูกินหาง” ที่ฤดูร้อนกระตุ้นการท่องเที่ยว แต่การท่องเที่ยวกลับเร่งการใช้ทรัพยากรและสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งย้อนกลับมาซ้ำเติมปัญหาโลกร้อนและสภาพอากาศสุดขั้วในอนาคต

 

เห็นดังนี้แล้วการท่องเที่ยวเพื่อคลายร้อนในยุคปัจจุบันจึงควรคำนึงถึงทั้งความสุขส่วนตัวและความยั่งยืนของโลก แต่หลายคนอาจเกิดคำถามว่าท่ามกลางอากาศร้อนจัดเช่นนี้ จะไม่ให้เร่งเครื่องปรับอากาศช่วยคลายร้อนได้อย่างไร โดยเฉพาะเมื่อเห็นข่าวอุณหภูมิสูงทะลุ 40 องศาเซลเซียส บางคนอาจรู้สึกตกใจกับสภาพอากาศที่รุนแรงผิดปกติในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม หากย้อนมองอดีตจะพบว่าประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เคยเผชิญกับอากาศร้อนระอุในระดับนี้มาแล้ว เพียงแต่ในอดีตยังไม่มีการวัดอุณหภูมิอย่างเป็นทางการหรือการรายงานข่าวที่แพร่หลายเหมือนปัจจุบัน เป็นที่น่าสนใจว่าเมื่อไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกต่าง ๆ แล้วผู้คนในอดีตมีวิธีการท่องเที่ยวคลายร้อนกันอย่างไร เราสามารถเรียนรู้และนำภูมิปัญญาเหล่านั้นมาประยุกต์ใช้ในปัจจุบันได้หรือไม่ 


  • หนีร้อนไปพึ่งเย็น

เมื่อถึงหน้าร้อนคนสมัยก่อนมักเลือกสถานที่ท่องเที่ยวที่ใกล้ชิดธรรมชาติ เช่น แม่น้ำ ลำคลอง ทะเล กิจกรรมเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่หรือใช้พลังงานสูง จึงช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ยามร้อนชาวบ้านมักจะพากันไปเล่นน้ำในแม่น้ำ ลำคลอง หรือบึงใกล้บ้าน โดยเฉพาะในช่วงที่น้ำลดจนเกิดหาดทรายริมตลิ่ง กลายเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจตามธรรมชาติ กิจกรรมยอดนิยม ได้แก่ กระโดดน้ำ ตีโป่ง เล่นทราย หรือแช่น้ำคลายร้อนทั้งวัน บางครั้งก็ชวนกันไปทั้งครอบครัว หรือรวมกลุ่มเพื่อนบ้านไปปิกนิก ในวันหยุดหรือเทศกาลสำคัญอย่างสงกรานต์ ชาวบ้านจะหอบหิ้วอาหารไปนั่งเล่น นอนเล่น รับลมริมน้ำ สำหรับผู้ที่อยู่ใกล้ทะเล เช่น หัวหิน บางแสน หรือชะอำ ก็มักจะนิยมไปเล่นน้ำ หรือเดินเล่นบนชายหาด 

 

แนวทางการท่องเที่ยวใกล้ชิดธรรมชาติในอดีต สะท้อนให้เห็นถึงการใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า ไม่สร้างภาระต่อสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างกลมกลืน ซึ่งแนวคิดนี้เองได้กลายเป็นรากฐานสำคัญของ “Eco Tourism” หรือการท่องเที่ยวเชิงนิเวศในยุคปัจจุบัน ที่นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสและเรียนรู้ธรรมชาติอย่างเคารพ เข้าใจขีดจำกัดของพื้นที่ ไม่รบกวนระบบนิเวศ การท่องเที่ยวลักษณะนี้ยังช่วยกระตุ้นจิตสำนึกด้านการอนุรักษ์ และสร้างความรับผิดชอบร่วมกันระหว่างนักท่องเที่ยว ชุมชน และผู้ประกอบการ โดยปัจจุบัน Eco Tourism ได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะตอบโจทย์ทั้งความต้องการของนักท่องเที่ยวที่อยาก “หนีร้อนไปพึ่งเย็น” ได้ใกล้ชิดธรรมชาติและถนอมความยั่งยืนของโลก โดยเน้นกิจกรรมที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การเดินป่า ส่องสัตว์ ปั่นจักรยาน เป็นต้น


  • น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า

นอกจากการหลบร้อนไปใกล้น้ำแล้ว คนสมัยก่อนยังนิยมทำกิจกรรมร่วมกันในชุมชน เช่น กินข้าว พูดคุย ฟังเพลง หรือเล่นดนตรีพื้นบ้าน สร้างบรรยากาศผ่อนคลายและกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในครอบครัวและเพื่อนบ้าน นอกจากนั้นยังนิยมเลือกกินอาหารพื้นบ้านหรือขนมท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นข้าวแช่ ส้มฉุน แตงโมปลาแห้ง ขนมจีนซาวน้ำ หรือผลไม้ฤทธิ์เย็นต่าง ๆ ที่ช่วยคลายร้อน บางบ้านยังเตรียมน้ำเย็นจากตุ่มดินเผา น้ำลอยดอกไม้ หรือขนมหวานเย็นไว้รับประทานระหว่างพักผ่อนหน้าร้อน การเลือกบริโภคสินค้าบริการท้องถิ่นเหล่านี้ นอกจากจะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจท้องถิ่นโดยตรงแล้ว ยังช่วยลดการนำเข้าและการขนส่งที่ใช้พลังงานสูง กิจกรรมอย่างการเล่นน้ำสงกรานต์ หรือการรวมกลุ่มทำกิจกรรมพื้นบ้านในหน้าร้อน ยังมีส่วนสำคัญในการส่งเสริมความสัมพันธ์ในชุมชนและสืบสานวัฒนธรรมท้องถิ่นให้คงอยู่ 

 

แนวทางการใช้ชีวิตและท่องเที่ยวแบบ “น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า” ที่ต่างฝ่ายได้มาเกื้อกูลกันแบบคนสมัยก่อน ยังสอดคล้องกับแนวคิด Local Tourism หรือ Community-based Tourism ซึ่งเป็นรูปแบบการท่องเที่ยวที่ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสวิถีชีวิต วัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างแท้จริง โดยเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชนในการออกแบบและจัดกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การทำอาหารท้องถิ่น การเดินชมหมู่บ้าน การฟังเรื่องเล่าจากผู้สูงวัย หรือการร่วมงานประเพณีและเทศกาลในชุมชน กิจกรรมเหล่านี้ไม่เพียงแต่สร้างประสบการณ์ที่มีความหมายและแตกต่างให้กับนักท่องเที่ยว แต่ยังช่วยกระจายรายได้โดยตรงสู่คนในพื้นที่ สร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานราก และกระตุ้นให้เกิดการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น การเลือกท่องเที่ยวในท้องถิ่นยังช่วยลดการเดินทางไกล ลดการใช้พลังงานจากการขนส่ง และส่งเสริมการบริโภคสินค้าและบริการที่ผลิตในพื้นที่ เป็นการต่อยอดภูมิปัญญาและวิถีชีวิตของคนรุ่นก่อน ให้สอดคล้องกับกระแสความยั่งยืนและการอนุรักษ์ทรัพยากรในปัจจุบัน 


  • กินน้ำให้เผื่อแล้ง 

การท่องเที่ยวหน้าร้อนของคนสมัยก่อนมักเกิดขึ้นในกลุ่มเล็ก ๆ หากไม่ได้เดินทางไกล ผู้คนจะนิยมพักผ่อนใต้ต้นไม้ใหญ่หรือใต้ถุนบ้านที่โปร่งโล่ง นั่งเล่น พูดคุย หรือใช้พัดมือช่วยคลายร้อน วิธีเหล่านี้ไม่ก่อให้เกิดปัญหา Over-tourism หรือความแออัดของนักท่องเที่ยวและไม่รบกวนระบบนิเวศ นอกจากนี้ การท่องเที่ยวแบบดั้งเดิมยังนิยมใช้ภาชนะจากธรรมชาติ เช่น ใบตอง หรือตุ่มน้ำดินเผา แทนการใช้พลาสติกหรือวัสดุที่ย่อยสลายยาก ช่วยลดปริมาณขยะและมลพิษ การใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า ไม่สิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็น สอดคล้องกับแนวคิด “กินน้ำให้เผื่อแล้ง” ที่คนโบราณตระหนักถึงความสำคัญของการอดออมเพื่อผลในระยะยาว โดยเฉพาะในยามที่อาจเกิดปัญหาหรือขาดแคลนในอนาคต ภูมิปัญญาที่สืบทอดกันมาช้านานในสังคมไทย ไม่เพียงแต่ช่วยให้ชีวิตประจำวันดำเนินไปอย่างราบรื่นในปัจจุบัน แต่ยังเป็นหลักประกันความมั่นคงและความอยู่รอดในวันข้างหน้า

 

แนวคิดดังกล่าวเชื่อมโยงกับ Sustainable Tourism หรือการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในยุคปัจจุบัน โดยจะเห็นได้ว่าหลักการพื้นฐานร่วมคือ การใช้ทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมอย่างพอดีและประหยัด เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในระยะยาว การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนมุ่งลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม ทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยพิจารณาถึงความสมดุลระหว่างความต้องการของนักท่องเที่ยว การอนุรักษ์ทรัพยากร และการสร้างประโยชน์ให้กับชุมชนท้องถิ่น นอกจากนี้ การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนยังเน้นการกระจายผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างเป็นธรรม การมีส่วนร่วมของชุมชน และการเคารพขีดความสามารถในการรองรับของพื้นที่ เพื่อรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

 

เพราะคนโบราณ “อาบน้ำร้อนมาก่อน” ภูมิปัญญาในการคลายร้อนนับได้ว่าเป็นต้นแบบที่สามารถเชื่อมโยงโดยตรงกับแนวทางการท่องเที่ยวในยุคปัจจุบัน วิธีการเหล่านี้เน้นความเรียบง่าย ไม่พึ่งพาสิ่งอำนวยความสะดวกที่ใช้พลังงานสูง ลดการใช้ทรัพยากรเกินจำเป็น และมุ่งลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกันยังสร้างความสุขและความสบายใจให้กับผู้คนในชุมชนและนักท่องเที่ยว 

 

หน้าร้อนปีนี้ ชวนกันไปลองอาบน้ำ(ร้อน) เรียนรู้และประยุกต์ใช้ภูมิปัญญาดั้งเดิมมาท่องเที่ยวคลายร้อนให้กับตัวเองและโลกเพื่อความร่มเย็นยั่งยืนต่อไป

 

ที่มา

Energy Thai Chamber (2566) ร้อนไม่เว้นวันหยุด พีคไฟฟ้าพุ่งรอบที่ 3 ของปี 2566 ถึง 32,963 เมกะวัตต์ จ่อทุบสถิติใหม่ของประเทศ https://energy-thaichamber.org/elec-peak/

TAT Review Magazine (2567) สถานการณ์ท่องเที่ยวตลาดในประเทศ (เดือนเมษายน-มิถุนายน 2567) – TAT Review Magazine https://tatreviewmagazine.com/article/snap-dom-q3/

กรุงเทพธุรกิจ (2567) ต่างชาติเที่ยวไทย 7 เดือนแรกทะลุ 20 ล้านคน เปิด 10 อันดับเดินทางเข้าไทยสูงสุด https://www.bangkokbiznews.com/business/business/1137947

Share This Story !

1.4 min read,Views: 99,

Related projects

  • ¡Hola! Spanish Travelers

    มิถุนายน 30, 2025

  • ‘เรื่องเล่น’ เรื่องเล็กน้อยมหาศาล

    มิถุนายน 30, 2025

  • ‘DESERT SUPERCITY’ มหานคร แห่งทะเลทราย

    มิถุนายน 30, 2025