Entertainment Complex กับชุมทางแห่งเสรีภาพ

 

โตมร ศุขปรีชา

 

 

มีเมืองใหญ่ในไทยอยู่เมืองหนึ่งที่มีลักษณะพิเศษ แตกต่างไปจากเมืองใหญ่อื่น ๆ

 

เวลาพูดถึง ‘เมือง’ ที่มีความเป็นมายาวนานในไทย 

 

และเจริญรุ่งเรืองจนกลายเป็นเมืองใหญ่ขึ้นมาได้ หลายคนอาจนึกถึงเมืองที่อุดมไปด้วยวัฒนธรรม เพราะเมืองโบราณมักสร้างตัวขึ้นมาโดยอิงกับ ‘ความเชื่อ’ ทำให้เนื้อเมืองส่วนใหญ่แอบอิงอยู่กับศาสนา วัดวาอาราม และประเพณีต่าง ๆ แต่เมืองใหญ่ที่ว่านี้ไม่เหมือนเมืองใหญ่อื่น ๆ ในไทยเลย เพราะเมืองแห่งนี้ไม่ได้เติบโตขึ้นมาจากความเชื่อในทางศาสนาและวัฒนธรรม ทว่าเติบโตขึ้นมาจากการเป็น ‘ชุมทาง’

 

 

เมืองที่ว่าก็คือหาดใหญ่

 

หาดใหญ่เป็นเมืองที่มีลักษณะพิเศษ แตกต่างไปจากเมืองอื่น ๆ ส่วนใหญ่ของไทย เพราะเดิมทีหาดใหญ่มีผู้คนอาศัยอยู่ไม่มากนัก เนื่องจากการคมนาคมไม่สะดวก ลักษณะของพื้นที่เป็นเนินสูง เรียกว่าโคกเสม็ดชุน แต่เมื่อมีการตัดทางรถไฟมาที่นี่ ไม่นานนัก สถานีรถไฟโคกเสม็ดชุนก็เปลี่ยนชื่อเป็นสถานีรถไฟชุมทางหาดใหญ่ และนับแต่นั้นมา หาดใหญ่ก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป จากที่เคยมีผู้คนไม่มากนัก ก็กลายเป็นเมืองใหญ่ที่ปัจจุบันอาจจะใหญ่กว่าตัวจังหวัดเสียด้วยซ้ำ

 

คำถามก็คือ – อะไรทำให้หาดใหญ่มีลักษณะพิเศษแบบนี้ขึ้นมาได้?

 

คำตอบหนึ่งน่าจะเป็นลักษณะพิเศษของการเป็น ‘เมืองชุมทาง’ นั่นเอง

 

เมืองที่ลักษณะเป็น ‘เมืองชุมทาง’ (Trading Hub หรือ Trading Post) ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นแค่กับที่หาดใหญ่ แต่เมืองแบบนี้มีมาเนิ่นนานตลอดประวัติศาสตร์ อาจนับเนื่องได้ตั้งแต่เมืองที่ถือกันว่าเป็น ‘เมืองแรก’ ของโลกด้วยซ้ำ นั่นก็คือเมืองอูรุก (Uruk) ในเมโสโปเตเมีย ซึ่งปัจจุบันอยู่ในอิรัก คือเก่าแก่ระดับ 4,500-3,200 ปีก่อนคริสตกาล

 

อูรุกนั้นถือว่าเป็นเมืองชุมทางได้เลย เพราะทำเลที่ตั้งในทางยุทธศาสตร์อยู่ริมแม่น้ำยูเฟรติส เป็นที่ราบลุ่มอุดมสมบูรณ์ จึงเชื่อมต่อเส้นทางการค้าทั้งทางบกและทางน้ำ ทั้งยังเป็นจุดเชื่อมระหว่างเปอร์เซียกับเมโสโปเตเมียด้วย ถ้ามาดูโครงสร้างพื้นฐานของเมือง จะพบว่าอูรุกมีท่าเรือขนาดใหญ่ มีอาคารที่คาดว่าน่าจะเป็น ‘คลังสินค้า’ และยุ้งฉาง แถมยังมีระบบคลองขนส่งและน่าจะมีตลาดกลางขนาดใหญ่ด้วย มีหลักฐานพบการใช้ดินเหนียวประทับตรา (Clay Tokens) เป็นใบเสร็จ โดยมีระบบบัญชีที่ซับซ้อน

 

เป็นเมืองแบบนี้นี่แหละครับ ที่เหล่าพ่อค้าจากนานาสารทิศมาชุมนุมพบปะสังสรรค์กัน ดังนั้น เมืองอย่างอูรุกจึงมีโรงเตี๊ยม โรงเหล้า และแม้อูรุกจะถือกำเนิดมาพร้อมความเชื่อเรื่องเทพหรือเทพีต่าง ๆ แต่วิธีคิดทางศาสนาก็เข้าไปผสมผสานกลั้วกลายเข้ากับการ ‘ให้บริการ’ ผู้คนที่หลากหลาย ผู้มาชุมนุมอยู่ในเมืองเพียงชั่วระยะเวลาสั้น ๆ ก่อนจะออกเดินทางไปค้าขายยังภูมิภาคอื่น ๆ ต่อไป  จึงก่อให้เกิดหลักฐานเรื่องของการค้าประเวณีแม้กระทั่งในบริเวณวิหารของเทพี และคาดเดากันว่า น่าจะมีแม้กระทั่งนักบวชหญิงที่คอยให้บริการทำพิธีกรรมพิเศษ ก่อให้เกิดการผสมผสานระหว่างพิธีกรรม ศาสนา และความบันเทิงขึ้นมา

 

ลักษณะแบบเดียวกันนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะที่เมโสโปเตเมีย แต่ในยุคกรีกและโรมันโบราณก็เป็นเช่นเดียวกัน ถ้าดูแผนที่ของยุโรป คุณจะเห็นว่า กรีกนั้นเหมือนกระดูกมือที่ขยุ้มเข้าไปในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทางใต้คือเกาะครีต ซึ่งถือได้ว่าเป็นอู่แห่งอารยธรรมและวัฒนธรรมมาตั้งแต่สองพันปีก่อนพระเยซูเกิด ส่วนทางตะวันออก ข้ามทะเลอีเจียนไปก็จะเป็นเอเชียไมเนอร์ ซึ่งต้องบอกว่าเป็นภูมิภาคที่รุ่งเรืองมากมาตั้งแต่ยุคก่อนโสคราติสและเพลโต

 

เอเชียไมเนอร์ (ซึ่งเชื่อมโยงกับอูรุก) เป็นทั้งแหล่งผลิตสินค้า ค้าขาย และเก็งกำไร นั่นทำให้เอเธนส์โบราณเป็นเหมือน ‘ประตู’ เปิดออกไปสู่โลกของเอเชียไมเนอร์อันคึกคัก เมืองในเมโสโปเตเมียนั้นเก่าแก่ยิ่งใหญ่กว่าเอเธนส์มากนัก เอเธนส์จึงเป็นเหมือน ‘หนุ่มน้อย’ ที่ได้เรียนรู้เรื่องเหล่านี้จาก ‘เมืองผู้เฒ่า’ แห่งเอเชียไมเนอร์ที่รุ่มรวยทั้งเงินทองและความคิด ผ่านท่าเรือสำคัญของเอเธนส์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งก็คือไพเรอุส (Piræus) ทำให้เอเธนส์เองก็มีลักษณะเป็น ‘เมืองชุมทาง’ ที่ให้บริการแก่พ่อค้าต่าง ๆ อย่างซับซ้อน หญิงบริการมีทั้งหญิงบริการชั้นสูง เรียกว่าเฮตาไร (Hetairae) มีลักษณะคล้าย ๆ เกอิชา คือถือกันว่าเป็นศิลปะขั้นสูง จนถึงหญิงบริการทั่วไปที่เรียกว่า โพรไน (Pornai) โดยมีสถานให้บริการทั้งโรงน้ำชา โรงอาบน้ำ หรือสิ่งที่เราคิดว่าเป็นการพูดคุยถกเถียงกันทางปรัชญาอย่างซิมโพเซียม (Symposium) ในปัจจุบัน แท้จริงก็เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงเพื่อพบปะกันในยุคนั้น แม้จะไม่ได้มี ‘โรงพนัน’ เป็นเรื่องเป็นราว แต่พบหลักฐานว่ามีรูปแบบการพนันมากมายแพร่หลาย เช่น การทายผลกีฬา การเล่นลูกเต๋า การทายผลการแข่งรถม้า โดยพบได้ทั้งในโรงน้ำชา ในบ้านพักส่วนตัว ตามงานเทศกาล หรือในตลาดที่เรียกว่า อะกอรา (Agora)

 

อีกภูมิภาคหนึ่งที่ใกล้ตัวเรามากและน่าสนใจไม่แพ้กัน ก็คือแถบมะละกา ที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามีลักษณะที่เป็น ‘ชุมทาง’ โดยแท้

 

มีอยู่ช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์ ที่นักวิชาการคิดว่า เมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ ขณะนั้น น่าจะอยู่ในแถบมะละกา คือเมืองที่มีชื่อว่า ปาเล็มบัง (Palembung) ซึ่งปัจจุบันอยู่ในอินโดนีเซีย บนเกาะสุมาตรา มีหลักฐานการพบเรือสำเภาลำสำคัญที่ล่มอยู่ในแถบปาเล็มบัง เป็นเรือสินค้าสมัยราชวงศ์ถัง ซึ่งพบทั้งเครื่องถ้วยจีน เครื่องแก้วจากเปอร์เซีย น้ำมันหอมจากตะวันออกกลาง และเครื่องเทศ เป็นเครื่องยืนยันถึงเส้นทางการค้าระหว่างจีนกับเปอร์เซียว่ามีมาเนิ่นนานแล้ว และตัวเรือเองก็ใช้เทคนิคการต่อเรือแบบจีนผสมอาหรับด้วย ปาเล็มบังจึงคือ ‘ชุมทาง’ สำคัญอย่างยิ่งของโลกในช่วงนั้น ประมาณว่าน่าจะมีประชากรอยู่ไม่ต่ำกว่าหนึ่งล้านคน ซึ่งถือได้ว่าเป็นระดับ ‘มหานคร’ ของโลก ณ เวลานั้นได้เลยทีเดียว

 

ปาเล็มบังและมะละกา จึงถือว่าเป็นท่าเรือนานาชาติขนาดใหญ่ เป็นพื้นที่ผสมผสานของพ่อค้าและชาวพื้นเมืองหลากเชื้อชาติ มีทั้งจีน อินเดีย ชวา อาหรับ ก่อให้เกิดระบบการดูแลพื้นที่แบบผสมผสาน มีทั้งแบบจีนและแบบอาหรับซึ่งใช้กฎหมายอิสลาม ผสมเข้ากับจารีตท้องถิ่น 

 

ทว่าแม้จะมีกฎหมายอิสลามคอยควบคุมอยู่ด้วย แต่ความหลากหลายของประชากร ก็ทำให้เมืองในพื้นที่แถบนี้อุดมไปด้วย ‘ความบันเทิง’ เพื่อผ่อนคลายระหว่างการเดินทาง เช่น เกิดบ่อนการพนันในชุมชนชาวจีน มีการแสดงดนตรีและการละเล่นต่าง ๆ มีโรงน้ำชาและร้านอาหาร ก่อให้เกิดเป็นธุรกิจแบบบนดินและใต้ดิน โดยมีระบบสมาคมลับคอยควบคุมเรื่องของการพนันและความบันเทิงต่าง ๆ ซึ่งแม้ในด้านหนึ่งจะเกิดภาพด้านลบเมื่อมองจากมุมมองเชิงศีลธรรม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า ความเป็นชุมทางก่อให้เกิดการผสมผสานทางวัฒนธรรม และทำให้เมืองก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาได้จากความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ ที่เกิดจากการมาชุมนุมกันของเหล่าพ่อค้า กะลาสี และนักเดินเรือจากทั่วโลก

 

อีกเมืองหนึ่งที่มีลักษณะเป็น ‘ชุมทาง’ และก่อให้เกิดวัตรปฏิบัติในรูปแบบที่ ‘ยอมรับได้’ ต่อสภาพที่อาจถูกมองว่าเป็นด้านลบทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นการค้าประเวณีหรือการพนัน – ก็คืออัมสเตอร์ดัม

 

เคยมีผู้กล่าวว่า อัมสเตอร์ดัมคือเมืองที่มีเสรีภาพมากที่สุดในโลก แต่เสรีภาพแบบอัมสเตอร์ดัมหรือแบบดัตช์นั้น ไม่เหมือนเสรีภาพแบบอเมริกัน เพราะถ้าเราดูสิ่งที่เรียกว่า ‘เสรีภาพ’ ในแบบอเมริกัน เราจะพบว่าเป็นเสรีภาพแบบที่มีลักษณะ ‘เชิงอุดมการณ์’ (Ideological Freedom) เพราะเป็นการเรียกร้องเสรีภาพหรืออิสรภาพจากอังกฤษ เสรีภาพของอเมริกันจึงมีรากฐานมาจากการ ‘ปฏิวัติ’ และการต่อสู้เพื่อเสรีภาพ ทั้งยังอิงอยู่กับหลักศาสนาแบบโปรเตสแตนท์และปรัชญาแบบ ‘เสรีนิยม’ ด้วย

 

พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ เสรีภาพแบบอเมริกันนั้น เป็นเสรีภาพที่ ‘รัฐ’ เป็นผู้ ‘บังคับใช้’ (Enforce) ให้คนมีเสรีภาพ บางคนเรียกว่าเป็นเสรีภาพแบบสัมบูรณ์ (Absolute Freedom) และมีการระบุเอาไว้ชัดเจนในรัฐธรรมนูญ โดยมุ่งเน้นไปที่สิทธิของปัจเจกชน และมองว่าเสรีภาพคือสิ่งที่ต้องปกป้อง ตัวรัฐเองก็ต้อง ‘รับประกัน’ เสรีภาพด้วย โดยการ ‘บังคับให้มีเสรีภาพ’ นั้น ใช้ระบบกฎหมายและศาลเป็นกลไกหลัก ถ้ามีการละเมิดเสรีภาพขึ้นมา รัฐต้องเข้าไปแทรกแซง

 

แต่อัมสเตอร์ดัมหรือดัตช์ไม่ได้เป็นอย่างนั้น เพราะเสรีภาพในอัมสเตอร์ดัม เกิดขึ้นเนื่องจากการเป็น ‘เมืองชุมทาง’ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ เสรีภาพแบบอัมสเตอร์ดัม เกิดขึ้นจากการ ‘ปฏิบัติจริง’ (คือเป็น Pragmatic Freedom) ไม่ได้ไปแอบอิงอยู่กับอุดมการณ์

 

อัมสเตอร์ดัมรุ่งเรืองมากในยุคทองของดัตช์ (Dutch Golden Age) ช่วงศตวรรษที่ 17 โดยเฉพาะบริเวณท่าเรือเก่าที่มีกะลาสีและพ่อค้าที่เดินทางมากับบริษัท Dutch East India Company ความเป็นชุมทางของดัตช์ทำให้เกิดโรงเตี๊ยม บาร์ และสถานบันเทิงขึ้นจำนวนมาก แม้บริเวณท่าเรือจะอยู่ใกล้กับโบสถ์เก่า แต่สุดท้ายก็เกิดเป็นย่าน Red Light District ขึ้นมาได้

ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะอัมสเตอร์ดัมให้ความสำคัญกับ ‘เสรีภาพแบบพ่อค้า’ คือเน้นผลประโยชน์ทางการค้าเหนือกว่าความเชื่อในทางศาสนา เพราะพ่อค้าจากต่างถิ่นที่ย่อมมีความเชื่อทางศาสนาไม่เหมือนกัน จะเอาศาสนาใดศาสนาหนึ่งมาครอบงำคนอื่นไม่ได้ นั่นจึงก่อให้เกิดความยืดหยุ่นทางวัฒนธรรม (Cultural Plasticity) ขึ้นมา ผู้คนสามารถปรับตัวยอมรับความแตกต่างหลากหลายได้ในระดับที่ลึกลงไปถึงเรื่องที่ถูกมองว่าเป็นเรื่องไม่ดี เช่น การค้าประเวณี การพนัน หรือแม้แต่การใช้ยาเสพติดบางประเภท ก่อให้เกิดแนวคิดประนีประนอม และใช้วิธีจัดการปัญหาที่ยืดหยุ่น ดูแลจัดการมากกว่าจะห้ามหรือควบคุม (Regulation over Prohibition)

 

ลักษณะแบบนี้จึงทำให้อัมสเตอร์ดัมยิ่งดึงดูดพ่อค้าจากทั่วยุโรปมากขึ้นไปอีก และสร้างรายได้มหาศาลให้กับเมือง ตลาดหุ้นแห่งแรกของโลกก็เกิดขึ้นที่อัมสเตอร์ดัมในช่วงเวลานั้น และไม่กี่ปีถัดมา ก็เกิดธนาคารสมัยใหม่ (Modern Bank) ที่ตั้งโดยรัฐขึ้นในอัมสเตอร์ดัมด้วย ทำให้เกิดนวัตกรรมทางการเงินใหม่ ๆ มากมาย

 

เสรีภาพเชิงการปฏิบัติจริงหรือ Pragmatic Freedom นั้น ก่อให้เกิดการยอมรับในเชิงการปฏิบัติจริงหรือ Pragmatic Tolerance ตามมาด้วย แม้จะมีกิจกรรมผิดกฎหมายในบางพื้นที่ ก็ใช้วิธีดูแลจัดการหรือควบคุมแทนการห้าม โดยแนวคิดหลักก็คือเห็นว่าการควบคุมนั้นยังดีกว่าการผลักไปให้เป็น ‘กิจกรรมใต้ดิน’ ที่ควบคุมได้ยาก อัมสเตอร์ดัมจึงมีการจดทะเบียนและการตรวจสุขภาพ มีพื้นที่สำหรับยาเสพติดบางประเภท มีการกำหนดเขตพื้นที่ชัดเจนว่าบริเวณไหนทำอะไรได้บ้าง ในเรื่องการพนันก็มีกาสิโนที่รัฐผูกขาดโดยมีสาขาจำกัด และไม่ได้ส่งเสริมเป็นแหล่งพนันหรูหราเหมือนที่บางเมืองในยุโรปทำ เช่น ในมอนติคาร์โล

 

จะเห็นได้ว่า การเกิดขึ้นของ ‘แหล่งบันเทิง’ ในเมืองใหญ่นั้น เกิดขึ้นได้จากหลายเหตุผล เมืองสำคัญในประวัติศาสตร์จำนวนมากไม่ได้เติบโตจากศาสนาและวัฒนธรรมเพียงอย่างเดียว หลายเมืองเช่น หาดใหญ่ อูรุก เอเธนส์ ปาเล็มบัง และอัมสเตอร์ดัม เติบโตจากการเป็น ‘ชุมทาง’ ที่พ่อค้าต่างถิ่นมาพบกัน

 

ลักษณะสำคัญของเมืองชุมทางคือการยอมรับความหลากหลาย และมี ‘เสรีภาพเชิงปฏิบัติ’ (Pragmatic Freedom) ที่เกิดจากความจำเป็นทางการค้า ต่างจาก ‘เสรีภาพเชิงอุดมการณ์’ (Ideological Freedom) แบบอเมริกัน โดยหัวใจสำคัญคือ ความเป็นชุมทาง ที่นำมาสู่ความยืดหยุ่นทางวัฒนธรรมและการประนีประนอม ซึ่งกลายเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาเมืองรูปแบบหนึ่งในประวัติศาสตร์

 

คำถามก็คือ – แล้ว Entertainment Complex แบบไทย ๆ เล่า หากจะก่อกำเนิดขึ้น, จะเกิดขึ้นบน ‘พื้นฐาน’ แบบไหนกัน?

Share This Story !

1.7 min read,Views: 623,

Related projects

  • ¡Hola! Spanish Travelers

    กุมภาพันธ์ 15, 2025

  • ‘เรื่องเล่น’ เรื่องเล็กน้อยมหาศาล

    กุมภาพันธ์ 15, 2025

  • ‘DESERT SUPERCITY’ มหานคร แห่งทะเลทราย

    กุมภาพันธ์ 15, 2025