Against the Nature แม้ฟ้าไม่เป็นใจ – ก็ยังเรียนรู้ได้ผ่านการเดินทาง

 

โตมร ศุขปรีชา

 

ปฏิเสธไม่ได้แล้วว่า ความแปรปรวนของลมฟ้าอากาศนั้นรุนแรงและคาดเดาไม่ได้มากขึ้นเรื่อย ๆ ปีนี้ เราได้พบกับอุณหภูมิระอุของเมืองในซีกโลกเหนือที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมหลายเมือง ทั้งในยุโรป จีน ญี่ปุ่น และอเมริกา ส่วนในไทย ก็ยากปฏิเสธอีกเช่นกันว่าสภาวะของ ‘ฟ้าฝน’ ปีนี้มีความ ‘แปลก ๆ’ อยู่พอสมควร แม้ตัวพายุหมุนเขตร้อนจะไม่ได้เข้าไทยตรง ๆ แต่ปรากฏการณ์ ‘ระเบิดฝน’ หรือ Rain Burst ก็เกิดขึ้นกะทันหันและรุนแรงในหลายพื้นที่ ก่อให้เกิดอุทกภัยซ้ำซาก

คำถามก็คือ – ในสภาวะแบบนี้ เรายังควรออกเดินทางท่องเที่ยวอยู่หรือไม่ เพราะเอาเข้าจริง การเดินทางนั้นเป็นส่วนหนึ่งของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ไม่ว่าจะแค่ลุกขึ้นมาขับรถ (ที่ไม่ใช่รถไฟฟ้า) หรือที่มากกว่านั้นก็คือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับชั้นบรรยากาศเลย ด้วยการเดินทางโดยเครื่องบิน

มีสถิติจาก World Meteorological Organization (WMO) ระบุว่า ในปีที่แล้วคือปี 2024 ทั่วโลกประสบกับภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนมากกว่า 150 เหตุการณ์ เหตุการณ์ที่ว่ามีตั้งแต่ คลื่นความร้อน น้ำท่วม และพายุรุนแรงในพื้นที่ที่ปกติแล้วไม่เคยเกิดอะไรแบบนี้มาก่อน ทำให้คนจำนวนมากกว่า 800,000 คนทั่วโลก ต้องประสบกับภาวะฉุกเฉินทางธรรมชาติ จนต้องอพยพย้ายถิ่นที่อยู่ เหล่านี้คือ สัญญาณชัดเจนว่าความไม่แน่นอนกำลังขยับใกล้ตัวเรามากขึ้นทุกที สามารถดูรายงานนี้ได้จาก The Guardian 

ยิ่งไปกว่านั้น บทความจาก Time ก็บอกด้วยว่าโลกกำลังเข้าสู่ยุคที่เรียกว่า Superstorm Era หรือยุคแห่ง ‘มหาพายุ’ ที่จะเกิดพายุหมุนที่ใหญ่และรุนแรงมากขึ้น คือแรงทั้งความเร็ว และเกิดถี่ขึ้นด้วย มีตัวเลขบอกว่า พายุหมุนอย่างเฮอร์ริเคนที่อยู่ในระดับ 4 และ 5 กำลังเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน สร้างความเสียหายต่อเมือง ชายฝั่งใหญ่โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ประเมินแล้วมีมูลค่ามากกว่าหนึ่งล้านล้านดอลลาร์ในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา โดยในช่วงปี 2022 ถึง 2023 มีรายงานพายุที่สร้างความเสียหายเกิน 1 พันล้านเหรียญ มากถึง 19 เหตุการณ์ ในขณะที่ฝั่งเอเชียอย่างบ้านเรา ก็ดูเหมือนเราจะคุ้นกับคำว่า ‘ซูเปอร์ไต้ฝุ่น’ กันมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเกิดบ่อยเหลือเกิน โชคดีที่เมื่อพายุเหล่านี้ขึ้นฝั่ง เทือกเขาในเวียดนามและลาวช่วยทำให้พายุอ่อนกำลังลงจนอาจกลายเป็นเพียงดีเปรสชันหรือหย่อมความกดอากาศต่ำ แต่กระนั้น แค่พายุ ‘วิภา’ ลูกเดียว ในปี 2025 ก็ทำให้หลายจังหวัดในภาคเหนือเกิดเหตุวิกฤตในแบบที่ไม่เคยเกิดมาก่อน เช่น ในจังหวัดน่าน

ทั้งหมดนี้ยังไม่รวมปรากฏการณ์ที่จับต้องได้อื่น ๆ อีก เช่น ปริมาณฝนในพายุรุนแรงในสหรัฐฯ มีมากขึ้นถึง 42% และ 55% (ขึ้นอยู่กับภูมิภาค) แปลว่าพายุหนึ่งลูกที่เคยหอบ ‘น้ำ’ มาปริมาณหนึ่ง ปัจจุบันพายุเหล่านี้หอบน้ำมามากขึ้นกว่าเดิมมาก เป็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Extreme Precipitation 

สำหรับนักเดินทางท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ต้องบอกว่าถ้าเป็นไปได้ การ ‘ลด’ การเดินทางลง หันมาสนับสนุนเทรนด์ Staycation หรือการท่องเที่ยวเดินทางระยะสั้น เช่น ภายในประเทศ หรือ อย่างน้อยก็ในภูมิภาคใกล้ ๆ – อาจมีส่วนช่วยบรรเทาความร้ายแรงของโลกร้อนลงได้บ้าง แม้จะต้องบอกตรง ๆ ว่าอาจไม่มากนัก และบางทีก็อาจ ‘สายเกินไป’ แล้วด้วยซ้ำ

ที่สำคัญกว่าก็คือ เมื่อโลกเปลี่ยนไปแล้ว การเดินทางท่องเที่ยวส่วนใหญ่จึงมี ‘ความเสี่ยง’ เพิ่มขึ้นมาก มีผู้วิเคราะห์ว่า ความแปรปรวนเหล่านี้น่าจะส่งผลกระทบต่อ ‘ประกันการเดินทาง’ ในอนาคต ที่น่าจะสูงขึ้น และหลายประเทศก็เริ่มใช้ ‘กำแพงวีซ่า’ หรือวีซ่าที่มีราคาสูงขึ้นเรื่อย ๆ เป็นส่วนหนึ่งในกลไกลดการเดินทางท่องเที่ยวที่ไม่จำเป็นด้วย แต่กระนั้นก็ก่อให้เกิดข้อถกเถียงเรื่อง ‘ความชอบธรรม’ ของกลไกนี้เช่นเดียวกัน เพราะสุดท้ายแล้วอาจกลายเป็นว่าคนที่สามารถออกเดินทางไป ‘เห็นโลก’ (ซึ่งหมายถึงการเพิ่มพูนสติปัญญา) อาจมีได้เฉพาะคนรวยเท่านั้น และคนจนก็อาจถูก ‘กด’ ให้ย่ำอยู่กับที่ ไม่สามารถขยายเส้นขอบฟ้าทางปัญญาได้อย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน

อย่างไรก็ตาม ในอีกด้านหนึ่ง เราสามารถทำให้ความไม่แน่นอนของธรรมชาติ กลายเป็นสิ่งที่เราสามารถ ‘เรียนรู้’ ระหว่างการเดินทางได้ เพราะความไม่แน่นอนเหล่านี้ มักทำให้ประสบการณ์ที่เคยคุ้น ไม่ว่าจะจากนักเดินทางมืออาชีพ หรือจากบริษัททัวร์ที่เคยคุ้นกับเส้นทาง ต้องหันกลับมา ‘ตั้งหลัก’ กันใหม่ ว่าช่วงเวลาแห่งการเดินทางนั้นอาจมีปัจจัยใหม่ ๆ ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เช่น ฤดูที่เคยฟ้าใส อาจมีหมอกหนาทึบปิดวิวทั้งหุบเขา หรือเกิดพายุหมุนถล่มเมืองและขัดขวางเที่ยวบินในช่วงเวลาที่ไม่เคยเกิดขึ้น เป็นต้น

การเดินทางท่องเที่ยวในยุคแห่ง Superstorm Era หรือการท่องเที่ยวแนว Against the Nature จึงคือความท้าทายใหม่ของมนุษยชาติ ทั้งอุตสาหกรรมต้องหันมาปรับตัวใหญ่เพื่อเปิดใจเรียนรู้ทั้งพลัง ความงาม และข้อจำกัดแบบใหม่ ๆ ของโลกใบนี้ รวมถึงต้องหาวิธีปรับตัวให้อยู่ร่วมกับความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้จริง 

และการเดินทางเหล่านี้ ‘ฐาน’ ของมันจะไม่ใช่ความสะดวกสบายหรูหราเหมือนเดิมอีกแล้ว แต่คือการ ออกเดินทางเพื่อ ‘แสวงหาความรู้’ ในความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ

ในอเมริกา เมื่อเริ่มมีพายุมากขึ้น โดยเฉพาะพายุทอร์นาโดในพื้นที่ที่เรียกว่า Tornado Alley คือรัฐตอนกลางประเทศที่เกิดทอร์นาโดบ่อย ๆ มีบริษัททัวร์อย่าง Tempest Tours ที่พาคนออก ‘ไล่ตามพายุ’ เหมือนในหนังเรื่อง Twisters แต่ไม่ได้ไล่ตามเพื่อความตื่นเต้นระทึกขวัญ ทว่าเป็นการออกเดินทางไปพร้อมกับผู้เชี่ยวชาญด้านอุตุนิยมวิทยา นักวิทยาศาสตร์ หรือนักถ่ายภาพมืออาชีพ

ดังนั้น ทุกครั้งที่ผู้ร่วมทริปได้เห็นหรือถ่ายภาพพายุหมุนขนาดยักษ์ พวกเขาจะไม่ได้เพียงภาพเซลฟี่กับพายุ หรือภาพชวนตื่นเต้นเท่านั้น ทว่ายังได้ ‘เรียนรู้’ การอ่านเรดาร์ เรียนรู้ถึงภูมิอากาศ และเรียนรู้ถึงวงจรชีวิตของพายุด้วย

แม้แต่ภูเขาไฟที่ดูน่าพรั่นพรึง ก็กลายเป็นแหล่งเรียนรู้ชั้นเยี่ยมได้ ซิซิลีและเมดิเตอร์เรเนียนแถบนั้นลือชื่อเรื่องเกาะภูเขาไฟหลายแห่งมานานแล้ว ผู้คนสามารถเดินเขาไต่ปีนขึ้นไปจนถึงปากปล่องภูเขาไฟได้ไม่ยากนัก หรือไอซ์แลนด์เองก็เคยใช้การปะทุของภูเขาไฟเป็นเหมือน ‘เวทีสอนธรณีวิทยา’ โดยมีการจัดเส้นทางปลอดภัยให้คนได้เห็นลาวาใกล้ ๆ พร้อมคำอธิบายว่า การปะทุของภูเขาไฟช่วยสร้างแผ่นดินใหม่อย่างไร อะไรคือ ‘จุดร้อน’ (Hot Spot) ทางธรณีวิทยา หรืออีกประเทศหนึ่งที่ก้าวหน้าด้านนี้มากก็คือญี่ปุ่น เช่น บนเกาะซากุระจิมะที่ภูเขาไฟยังตื่นตัวอยู่ มีการออกแบบให้มีจุดชมวิว พิพิธภัณฑ์ และระบบเตือนภัยครบถ้วน เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เรียนรู้ทั้งความ ‘ยิ่งใหญ่’ ของธรรมชาติ เพื่อจะเจียมตัวในความเป็นมนุษย์ และได้เรียนรู้ถึงการก่อกำเนิดของภัยธรรมชาติเหล่านี้ในทางวิชาการ รวมไปถึง การป้องกันตัวด้วย

ในมุมกลับ การท่องเที่ยวแนว Against the Nature อาจผันตัวกลายเป็นการท่องเที่ยวแนว Support the Nature ได้ด้วย เช่น ในสกอตแลนด์ มีการท่องเที่ยวที่ ‘ขายความมืด’ อย่าง Galloway International Dark Sky Park ที่ ‘ขาย’ ความมืดบนท้องฟ้าในยามค่ำคืน โดยมีการจัดการให้ไม่มีแสงเมืองมารบกวนฟ้าให้หม่น และมีเจ้าหน้าที่ที่เรียกว่า Dark Sky Rangers คอยพาผู้มาเยือนสังเกตกลุ่มดาว เรียนรู้ทางด้านดาราศาสตร์ ฝึกปรับสายตาในความมืด และเล่าเรื่องราวของ ‘จักรวาล’ เป็นต้น

เทรนด์เรื่อง Dark Sky นั้นแพร่ไปหลายแห่งทั่วโลก เช่น ในนิวซีแลนด์หรือในชนบทห่างไกลของหลายประเทศ แม้แต่ในอำเภอเชียงดาวของจังหวัดเชียงใหม่ ก็เคยมีแนวคิดจะสร้างเขต ‘ฟ้ามืด’ ขึ้นมา เพื่อให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเพื่อ ‘ดูดาว’ สมกับชื่อ ‘เชียงดาว’ แต่ก็พบว่า อุปสรรคใหญ่คือการขยายตัวของเมืองที่มาพร้อมกับแสงไฟที่ไม่ได้รับการจัดการให้ถูกต้อง และแนวคิดที่ยังไม่ตระหนัก – ว่าแสงไฟที่ผิดที่ผิดทิศผิดทาง หรือสว่างเกินไป ก็กลายเป็น ‘มลพิษ’ ได้เหมือนกัน เพราะไม่ได้รบกวนแต่นักดูดาวเท่านั้น แต่ยังรบกวนชีวิตของสัตว์กลางคืนจำนวนมากด้วย

จะเห็นได้ว่า ความ ‘แปรปรวน’ ของลมฟ้าอากาศ ในด้านหนึ่งคือแง่ลบที่ทำร้ายการเดินทางท่องเที่ยว แต่หากเราปรับตัวเองมาให้ความสำคัญกับการเดินทางเพื่อ ‘เรียนรู้’ ธรรมชาติ – มากกว่าจะไปหรูหราพักผ่อน และ ‘เสพกิน’ ธรรมชาติอย่างไม่บันยะบันยังอย่างที่มนุษย์ทำมาโดยตลอด การเดินทางเหล่านั้นก็จะมีคุณค่า เพราะจะทำให้เราได้กลับบ้านมาพร้อม ‘บทเรียน’ และ ‘องค์ความรู้’ เกี่ยวกับธรรมชาติแบบใหม่ ๆ ที่จะช่วยขยายเส้นขอบฟ้าทางปัญญาของเราให้กว้างขวางขึ้นได้

 

ที่มา:

https://www.theguardian.com/environment/2025/mar/19/unprecedented-climate-disasters-extreme-weather-un-report

https://time.com/7019186/superstorm-era-is-here-essay

https://glisa.umich.edu/resources-tools/climate-impacts/extreme-precipitation/

https://www.news.com.au/travel/travel-updates/travel-stories/most-demand-ever-aussies-pay-up-to-7k-for-wild-tourism-trend-in-tornado-alley/news-story/1aacb906f9e0395669d321feface7d43

https://forestryandland.gov.scot/visit/forest-parks/galloway-forest-park/dark-skies

Share This Story !

1.9 min read,Views: 263,

Related projects

  • ¡Hola! Spanish Travelers

    ตุลาคม 10, 2025

  • ‘เรื่องเล่น’ เรื่องเล็กน้อยมหาศาล

    ตุลาคม 10, 2025

  • ‘DESERT SUPERCITY’ มหานคร แห่งทะเลทราย

    ตุลาคม 10, 2025